ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้ฟรีโฟลท บจ.เฉลี่ย 40% จากอดีตเฉลี่ย 30% เหตุผู้บริหาร บจ.ให้ความสำคัญมากขึ้นในการสร้างความน่าสนใจโดยใช้เครื่องมือทางการเงินช่วยดึงดูดนักลงทุน เช่น หุ้นเทรดราคาต่ำกว่า 1 บาท มีการรวมพาร์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี จากเดิมอาจถูกมองเป็นหุ้นปั่น ทำให้ปัจจุบันเหลือหุ้นต่ำกว่า 1 บาท เพียง 38 บริษัท จากปีก่อนที่มี 73 บริษัท ส่วนหุ้นพาร์สูง แตกพาร์ ปีนี้ทำแล้ว 14 บริษัท
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันจำนวนบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีราคาซื้อขายต่ำกว่า 1 บาทต่อหุ้น มีเพียง 38 บริษัท แบ่งเป็นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ 31 บริษัท และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 1 บริษัท ซึ่งมีจำนวนลดลง 48% จากสิ้นปีที่ผ่านมามีจำนวน 73 บริษัท เนื่องจากเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ปัจจุบันหุ้นที่มีราคาซื้อขายต่ำกว่า 1 บาทต่อหุ้นนั้นไม่เป็นที่น่าสนใจในการเข้ามาลงทุน อาจถูกมองว่าเป็นหุ้นปั่น ทำให้ผู้บริหารจดทะเบียนมีการรวมพาร์
สำหรับในปีนี้ มี บจ.รวมพาร์จำนวน 3 บริษัท เพื่อทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทดีขึ้น และจากการที่ภาวะตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นมีผลทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนมากขึ้น ทำให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยทิศทางการรวมพาร์เพื่อสร้างภาพลักษณ์นี้ ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ มองว่าถือว่าเป็นการพัฒนาไปในเชิงบวกในการเพิ่มคุณภาพให้กับตัวหุ้นนั้นๆ เอง และทางตลาดหลักทรัพย์ฯ เองก็ไม่ต้องการเห็นตลาดทุนไทยเต็มไปด้วยหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 1 บาท
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะให้บริษัทมีพาร์สูงที่ 10 บาทต่อหุ้นนั้น มีการแตกพาร์ เช่นกัน เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องของหุ้นทำให้มีนักลงทุนเข้ามาซื้อขายมากขึ้น โดยปัจจุบัน มีหุ้นที่พาร์ 10 บาท อยู่จำนวน 100 บริษัท โดยขณะนี้มีบริษัทที่มีการแตกพาร์ จำนวน 14 บริษัท จากสิ้นปีก่อนที่มี บจ.แตกพาร์จำนวน 20 บริษัท
นอกจากนี้ หุ้นที่มีราคาซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (บุ๊กแวลู) ขณะนี้ได้ปรับตัวลดลงเช่นกัน เหลือเพียง 125 บริษัท จากที่เคยสูงถึง 191 บริษัท เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม จากการที่ บจ.ได้มีการใช้เครื่องมือทางการเงินในการเพิ่มความน่าสนใจของหุ้น และเพิ่มสภาพคล่องการซื้อขายของหุ้นนั้นไม่ว่าจะเป็นการแตกพาร์ รวมพาร์ ออกวอร์แรนต์ การออกหุ้นปันผล ฯลฯ มีผลทำให้ฟรีโฟลทของหุ้นมีการปรับตัวดีขึ้น ซึ่งโดยรวมฟรีโฟลทหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เฉลี่ยอยู่ที่ 40% จากอดีตที่ผ่านมาอยู่ที่ 30% ทำให้นักลงทุนไทย และนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้น