“ชมเดือน” มั่นใจครึ่งปีหลัง “ไทย เอ็น ดี ที” ยังเติบโตได้ดี ปั๊มรายได้โต 10% ได้ตามเป้าจากการรับรู้ Backlog ในมือและการเข้าประมูลงานใหม่ พร้อมเล็งขยายฐานธุรกิจเพิ่มเพื่อกระจายความเสี่ยง คุยรับมือ AEC ได้คล่องตัว ขณะ Q2/55 ยังโชว์ผลงานเยี่ยมกำไรโตกว่าปีก่อนจาก 14.28 ลบ. เป็น 19.61 ล้านบาท ด้านบอร์ดใจดีสั่งปันผลระหว่างกาลทันที 0.10 บ./หุ้น
น.ส.ชมเดือน ศตวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด (มหาชน) หรือ TNDT ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการตรวจสอบและทดสอบทางวิศวกรรมความปลอดภัย ด้วยกระบวนการทดสอบโดยไม่ทำลาย (Nondestructive Testing - NDT) เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังว่า ยังมีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการรับรู้รายได้จากธุรกิจหลักด้านบริการตรวจสอบ และทดสอบทางวิศวกรรมความปลอดภัย ด้วยกระบวนการทดสอบโดยไม่ทำลาย โดยมาจากมูลค่างานคงค้างในมือที่มีอยู่กว่า 150 ล้านบาท และการเข้าประมูลงานใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเข้าร่วมประมูลงานมูลค่า 180 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าจะได้รับงานมูลค่าประมาณ 90 ล้านบาท ไม่รวมมูลค่างานที่ได้รับจากลูกค้าประจำ
“บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นในการทำธุรกิจ NDT แนวโน้มครึ่งปีหลังน่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ว่ารายได้โต 10% โดยรับรู้รายได้จาก Backlog และเตรียมประมูลงานใหม่อีกหลายโครงการ คาดจะได้งาน ประมาณ 90 ล้านบาท นอกจากนั้น บริษัทฯ มีนโยบายลดความเสี่ยงทางธุรกิจด้วยการเพิ่มธุรกิจใหม่ๆ ที่มีโอกาสสร้างรายได้ให้เติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการ ทั้งการลงทุนในประเทศ และต่างประเทศ และศึกษาความเหมาะสมตามหลักเกณฑ์ด้าน ก.ล.ต. ซึ่งบริษัทฯ มีความพร้อมสำหรับการลงทุนโดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียนซึ่งมั่นใจว่า บริษัทจะรับมือกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ได้อย่างดี” น.ส.ชมเดือนกล่าว
ทั้งนี้ บริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำงวดไตรมาสที่ 2/2555 (เมษายน-มิถุนายน 2555 ) ว่า เติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิในงบเฉพาะกิจการ จำนวน 19.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 14.28 ล้านบาท ส่งผลให้งวด 6 เดือน (มกราคม-มิถุนายน 2555) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 29.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 29.29 ล้านบาท
โดยผลงานที่เติบโตเป็นผลมาจากมีปริมาณงานและรายได้ที่เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้เพิ่มความรัดกุมในการบริหารจัดการเกี่ยวกับต้นทุนและค่าใช้จ่ายจึงส่งผลให้สัดส่วนรายรับต่อรายจ่ายเพิ่มขึ้นดังกล่าว ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ที่ประชุมจึงมีมติให้ปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น โดยจ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 กันยายน 2555