xs
xsm
sm
md
lg

“ประสาร” ชำแหละ “จีดีพี” โตได้ 5.7% สะท้อนภาพ ศก.ไทยได้จริง ปชช. ต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเท่าเทียม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ประสาร ไตรรัตน์วรกุล
ผู้ว่าการ ธปท.เปิดมุมมอง “จีดีพี” ปัจจุบันสะท้อนความแข็งแกร่ง ศก.ไทยได้แค่ไหน คาดหากปีนี้โตได้ 5.7% ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะมาจากฐานที่ต่ำเมื่อเทียบกับปีก่อน พร้อมระบุ ศก.ไทยจะเติบโตได้แข็งแกร่งจริงต้องเปิดโอกาสให้ ปชช.เข้าถึงการมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเท่าเทียม

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในการสัมมนา “GDP ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยแค่ไหน” ซึ่งจัดโดยคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน วุฒิสภา โดยระบุว่าตนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญมาแสดงปาฐกถาในงานสัมมนาวันนี้ และถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้นำเสนอแนวคิดที่มีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน รวมถึงแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยให้ก้าวไกลสู่อนาคต

ทั้งนี้ ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวอีกว่า เชื่อว่าทุกคนที่เข้าร่วมฟังการสัมมนาในครั้งนี้ล้วนต้องการเห็นเศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งและทัดเทียมนานาประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ประเทศไทยควรวางแผนการพัฒนาประเทศโดยมองอย่างรอบด้าน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ควบคู่ไปกับการร่วมมือกันของทุกภาคฝ่ายทั้งภาครัฐ และเอกชน

ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า เมื่อมองหนทางพัฒนาเศรษฐกิจสู่ความแข็งแกร่ง ลำดับแรกเราควรทำความเข้าใจกับคำว่า “แข็งแกร่ง” ให้ถ่องแท้ คำคำนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามบริบทที่อยู่รอบด้าน ยกตัวอย่างเช่น เด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงจะเป็นเด็กที่มีร่างกายเติบโตสมส่วน มีกำลังวังชา มีพัฒนาการที่ดี และมีชีวิตชีวา

แต่หากลองแทนที่คำว่าเด็กด้วยคำว่าเศรษฐกิจ เศรษฐกิจที่แข็งแรงหรือแข็งแกร่งนั้นควรมีลักษณะอย่างไร คำตอบหนึ่งที่อยู่ในความคิดหลายๆ ท่านคงหนีไม่พ้นประโยคที่ว่า เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งควรเป็นเศรษฐกิจที่เติบโต ยิ่งเศรษฐกิจเติบโตมากเท่าใดก็ยิ่งดีต่อประเทศมากเท่านั้น แนวคิดดังกล่าวถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของคำตอบ เพราะในความจริงยังต้องมีองค์ประกอบสำคัญอื่นๆ เข้ามาผสมผสานสร้างสรรค์เศรษฐกิจให้แข็งแกร่งขึ้นได้อย่างสมบูรณ์

“ผมขอใช้โอกาสนี้เรียนว่า ยังมีอีก 3 องค์ประกอบที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เศรษฐกิจไทยได้นอกจากการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยองค์ประกอบแรกคือ ความสมดุลหรือความมีเสถียรภาพ ส่วนองค์ประกอบที่สองคือ การเติบโตอย่างมีพัฒนาการเพื่อนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว และองค์ประกอบที่สามหรือองค์ประกอบสุดท้าย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสำคัญน้อยที่สุด คือ การเติบโตต้องมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน ด้วยการกระจายโอกาสในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานให้ประชาชนทุกคนอย่างทั่วถึง”

ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามที่ตนได้เกริ่นนำไปนั้น แม้การเติบโตของเศรษฐกิจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่ง แต่หากขาดการเติบโตแล้วคงไม่สามารถบอกได้ว่าเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง หากให้ลองนึกถึงเครื่องชี้ที่สะท้อนการเติบโตของเศรษฐกิจ เข้าใจว่าคำตอบหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดแวบแรกของหลายๆ ท่านคงหนีไม่พ้นเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจตัวสำคัญของประเทศที่เรียกกันว่า GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product) ซึ่งที่ทุกท่านนึกถึง GDP ก่อนก็เพราะว่า GDP เป็นเครื่องชี้ที่ใช้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นภายในประเทศที่ใช้กันแพร่หลายทั่วโลก โดยวัดจากผลรวมของมูลค่าสินค้าและบริการที่ผลิตได้ภายในประเทศไทยในรอบระยะเวลาหนึ่ง เช่น ในหนึ่งไตรมาสหรือหนึ่งปี

สำหรับตัวเลข GDP นี้ นักเศรษฐศาสตร์มักใช้วิเคราะห์คู่กับเครื่องชี้อีกตัวหนึ่งที่มีชื่อคล้ายๆ กัน คือ GNP หรือ Gross National Product ซึ่งเป็นเครื่องชี้ที่ใช้วัดผลรวมของมูลค่าสินค้าและบริการที่ผลิตได้ แต่นับเฉพาะที่ผลิตได้โดยคนไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลกก็ตาม เครื่องชี้วัดนี้จะช่วยบอกว่าเศรษฐกิจเติบโตได้จากการผลิตของคนที่มีสัญชาติไทยจริงๆ เป็นเท่าไร อย่างไรก็ดี ในประเทศไทยตัวเลข GDP และ GNP ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ทั้งในแง่ของระดับหรืออัตราการขยายตัว ในทางปฏิบัติจึงมักใช้ GDP ซึ่งมีความเป็นสากลมากกว่าเพียงตัวเดียว

จากข้อดีที่ GDP สามารถช่วยในการเปรียบเทียบการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ได้ ทำให้ GDP มักเป็นตัวเลขที่สำคัญที่ถูกใช้ประกอบการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน เนื่องจาก GDP มีหลักการและวิธีการคำนวณที่มีมาตรฐานชัดเจนและถือปฏิบัติกันเป็นสากล ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในสภาวการณ์ปัจจุบันที่ทุกประเทศต่างต้องเผชิญกับการแข่งขันในระดับสูง แต่ละประเทศล้วนต้องการยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศตนให้ดีขึ้น การเปรียบเทียบการเติบโตทางเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนต่างชาติกำลังตัดสินใจว่าจะลงทุนสร้างฐานการผลิตในประเทศใด ไทย อินโดนีเซีย หรือเวียดนาม ปัจจัยแรกที่จะเป็นจุดเด่นในสายตาของนักลงทุนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณา นอกเหนือไปจากการดูถึงคุณภาพของแรงงาน หรือกฎระเบียบต่างๆ ในการลงทุนคงหนีไม่พ้น GDP เพราะ GDP สามารถเปรียบเทียบการเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้รวม หรือกำลังซื้อของประชากรในประเทศนั้นๆ ได้

นอกจากนี้ GDP ไม่ได้มีประโยชน์ต่อเพียงภาคเอกชนเท่านั้น GDP ยังเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินนโยบายของภาครัฐเช่นกัน เนื่องจากองค์ประกอบของ GDP สามารถบอกลักษณะโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศได้ ยกตัวอย่างในกรณีของประเทศไทย ประมาณครึ่งหนึ่งของ GDP เป็นการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน ในขณะที่สัดส่วนของการลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มลดลงจากในอดีต ดังนั้น GDP จึงเป็นเครื่องชี้ตัวหนึ่งที่ภาครัฐสามารถใช้ประกอบการวางนโยบายเพื่อพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศได้

การวิเคราะห์ภาพเหล่านี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถวิเคราะห์เศรษฐกิจได้ถูกต้อง ชัดเจน และสนับสนุนการตัดสินใจในการดำเนินนโยบาย รวมทั้งการดำเนินธุรกิจของเอกชนให้เกิดขึ้นได้อย่างรอบคอบและเหมาะสมยิ่งขึ้น

“หลังจากทราบว่า GDP บอกอะไรเราแล้ว ผมขอนำทุกท่านมาสู่เรื่องการวัดความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย ซึ่งหากมองย้อนอดีตจะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่ขยายตัวได้ในเกณฑ์ที่ดี แต่จะเชื่อได้อย่างไรว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เพราะแม้แต่เด็กที่มีร่างกายเติบโตก็ไม่อาจอนุมานได้ว่าจะมีร่างกายที่สมส่วน มีกำลัง มีพัฒนาการที่ดี และมีชีวิตชีวาเสมอไป เพราะร่างกายที่เติบโตสูงใหญ่ไม่อาจเพียงพอที่จะบอกว่าเด็กๆ มีสุขภาพที่แข็งแรงจากภายในอย่างแท้จริง ในมุมของเศรษฐกิจก็เช่นกัน GDP ที่ขยายตัวไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าเศรษฐกิจจะแข็งแกร่งได้ ดังนั้น เราจึงควรหมั่นดูแลองค์ประกอบภายในของเศรษฐกิจที่ไม่ได้สะท้อนจากตัวเลข GDP โดยเฉพาะองค์ประกอบสำคัญทั้ง 3 ด้านตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งจากภายในสู่ภายนอกได้อย่างสมบูรณ์”

องค์ประกอบเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ องค์ประกอบแรกคือ ความสมดุลของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งคำว่า สมดุล ในที่นี้หมายถึงเศรษฐกิจที่เติบโตจะต้องไม่มาพร้อมกับแรงจูงใจให้มีการเก็งกำไร ไม่สร้างให้ธุรกิจหรือครัวเรือนก่อหนี้เกินตัว หรือสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่ออย่างหละหลวม นอกจากนี้ยังหมายถึงทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจจะต้องมีการเติบโตอย่างเข้มแข็งไปพร้อมๆ กัน ที่ต้องกล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ภาคเศรษฐกิจหนึ่งถดถอย เราก็จะมีอีกภาคเศรษฐกิจหนึ่งที่สามารถประคับประคองให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้

การที่ต้องพูดถึงเรื่องความสมดุลก็เพราะว่าประเทศไทยได้เรียนรู้ประสบการณ์จากอดีตทั้งของตนเองและของต่างประเทศ ประสบการณ์แรก เชื่อว่าทุกท่านยังคงจำกันได้ เศรษฐกิจไทยในช่วงก่อนปี 2540 เติบโตได้ในระดับสูง แต่แล้วกลับติดลบและเข้าสู่ภาวะวิกฤตในปีถัดมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเศรษฐกิจเติบโตแบบขาดเสถียรภาพในบางสาขา โดยเฉพาะจากการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และความหละหลวมในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งในขณะนั้นภาคอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีจุดเด่นที่น่าดึงดูดต่อการลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูงขึ้นต่อเนื่อง อสังหาริมทรัพย์จึงเป็นสินทรัพย์ประเภทเก็งกำไรที่คนนิยมไปขอกู้เงินเพื่อให้ได้ครอบครอง อสังหาริมทรัพย์จึงกลายเป็นภาคเศรษฐกิจที่สามารถนำพาวิกฤตเศรษฐกิจมาพร้อมๆ กับวิกฤตการเงินได้

เมื่อเวลาผ่านไป 1 ทศวรรษ ในช่วงปี 2551 วิกฤตเศรษฐกิจได้หวนกลับมาอีกครั้งเหมือนเอาโครงเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ แต่ครั้งนี้ดูจะละเอียดและลึกซึ้งกว่าเรื่องเดิม เนื่องจากเป็นประสบการณ์ของประเทศยักษ์ใหญ่ในโลกฝั่งตะวันตก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และประเทศในกลุ่มยูโรที่เกิดจากการขาดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ด้านวินัยการคลัง รวมถึงสภาวะการปล่อยสินเชื่อและฐานะทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ และวิกฤตดังกล่าวก็ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมค่อนข้างมากเช่นกัน โดยเฉพาะต่อภาคอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อส่งออก แต่หากมองให้ละเอียดจะพบว่า ภายใต้วิกฤตนั้นยังมีภาคเกษตรที่สามารถเข้ามาช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าวได้ในระดับหนึ่ง โดยเราเห็นคนที่ต้องออกจากงานภาคอุตสาหกรรมบางส่วนกลับไปถิ่นฐานบ้านเกิดและประกอบอาชีพเกษตรกรรมแทน นี่จึงเป็นตัวอย่างของกรณีที่ว่าทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจต้องมีการเติบโตอย่างเข้มแข็งไปพร้อมๆ กัน

ประสบการณ์ที่เล่าให้ฟังข้างต้นเป็นผลจากการดำเนินนโยบายที่คำนึงถึงแต่ตัวเลข GDP ในระดับสูงๆ ละเลยเสถียรภาพและความสมดุลของการเติบโต ซึ่งไม่ต่างจากเด็กที่กินอาหารขยะ ร่างกายเติบโต แต่หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ท้ายที่สุดอาจต้องผ่าตัดลดกระเพาะ ดังเช่นประเทศในกลุ่มยูโรที่ต้องรัดเข็มขัดทางการคลังในปัจจุบัน

จากอดีตสู่ปัจจุบัน จะเห็นว่าประเทศไทยและหลายประเทศในภูมิภาคของเราต่างเรียนรู้จากวิกฤตและพลิกกลับเป็นประสบการณ์ ด้วยการปรับตัวโดยลดการพึ่งพิงตลาดต่างประเทศมาสู่ตลาดในประเทศมากขึ้น จนสามารถช่วยกันพยุงเศรษฐกิจให้ผ่านมาได้ในระดับหนึ่ง และเช่นกันสำหรับสถานการณ์ในวันนี้ วันที่เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มยูโรยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไข และยังไม่มีผู้ใดทราบว่าปัญหาจะจบลงเมื่อไรและอย่างไร สำหรับประเทศไทยคงต้องยึดกุศโลบายเดิม คือพยายามสร้างความสมดุลและภูมิต้านทานให้แก่เศรษฐกิจ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากภัยคุกคามจากทั้งภายในและภายนอก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการเติบโตที่แข็งแกร่ง และยั่งยืน

สำหรับองค์ประกอบที่สอง คือ การมีพัฒนาการในการเติบโต หรือในอีกแง่หนึ่งหมายถึงเศรษฐกิจต้องมีการพัฒนาไปสู่การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่ได้สะท้อนอยู่ในอัตราการขยายตัวของ GDP เนื่องจาก GDP ที่เพิ่มขึ้นอาจมีที่มาจากการที่ประเทศมีการใช้จ่ายที่เน้นแต่การบริโภค ไม่ลงทุน ไม่พัฒนาโครงสร้างการผลิตและประสิทธิภาพการผลิตให้เหมาะสม ทำให้ในที่สุดประเทศจะย่ำอยู่กับที่ และถูกประเทศอื่นแซงหน้าได้เพราะสูญเสียความสามารถด้านการแข่งขันในระยะยาว

ดังนั้น หากจะให้ไทยยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน การพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งเพราะจะนำไปสู่หนทางการลดต้นทุนการผลิต พัฒนาคุณภาพและความหลากหลายของสินค้า รวมถึงเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตทั้งคนไทยและต่างชาติสนใจมาลงทุนในไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งควรที่จะมีการพัฒนาควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้ GDP ขยายตัว ทั้งนี้ หนทางที่จะพัฒนาไปสู่จุดนั้นได้ ทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องเป็นผู้ที่มีบทบาทค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเร่งพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และการพัฒนาคุณภาพระบบการศึกษาที่จะช่วยยกระดับคุณภาพของประชากรในประเทศ เพิ่มการวิจัยและพัฒนาให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อใช้ในการผลิตมากขึ้นและสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะแรงงานให้มีความรู้และความชำนาญในงานได้อย่างจริงจัง

เมื่อมาถึงจุดนี้ทุกท่านอาจตั้งคำถามในใจว่า แล้วปัจจุบันประเทศไทยมีพัฒนาการทางเศรษฐกิจและประสิทธิภาพการผลิตอยู่ในระดับใดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เครื่องชี้พื้นฐานหนึ่งที่สามารถใช้พิจารณาได้คือ GDP per capita หรือระดับรายได้ต่อคนที่บ่งบอกถึงความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการที่ประชากรหนึ่งคนในประเทศผลิตได้ ซึ่งเครื่องชี้นี้อาจขัดแย้งกับระดับของมูลค่า GDP ที่มักจะถูกหยิบยกมาใช้เป็นตัวชี้วัดพัฒนาการของประเทศด้วยความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ตัวอย่างเช่น จากการจัดอันดับของ IMF ในปี 2011 ขนาดของเศรษฐกิจไทยที่วัดจากระดับมูลค่า GDP จะใหญ่เป็นอันดับที่ 31 ของโลกจาก 183 ประเทศ แต่หากดูระดับพัฒนาการทางเศรษฐกิจซึ่งวัดได้จาก GDP per capita ตัวนี้แล้วอันดับของไทยจะตกไปอยู่ที่ 90 ของโลก

นอกจาก GDP per capita แล้วเรายังสามารถติดตามการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้จากการสำรวจของสถาบันการจัดอันดับการแข่งขันที่ชื่อว่า IMD World Competitiveness และ The Global Competitiveness Report เพื่อบ่งชี้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยผลการสำรวจล่าสุดที่เพิ่งประกาศไปเมื่อสิ้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่าจากทั้งหมด 59 ประเทศที่ทางสถาบันฯ ได้สำรวจอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลงมาอยู่อันดับที่ 30 จากอันดับที่ 27 ในปีก่อน และมีอันดับแย่ลงในทุกด้าน โดยหากดูเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานจะยิ่งเห็นชัดว่าเราแย่ลงต่อเนื่องติดต่อกันนับตั้งแต่ปี 2552 ทั้งๆ ที่อัตราการขยายตัวของ GDP ในช่วงปี 2553 ก็สามารถขยายตัวได้สูงถึง 7.8%

ดังนั้น การดูตัวเลข GDP เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เข้าใจผิดคิดว่าประเทศมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง มีการพัฒนาที่ดี มีการผลิตที่มีประสิทธิภาพ และมีความสามารถในการแข่งขัน ทั้งที่ในความเป็นจริงอัตราการขยายตัวของ GDP อาจจะยังไม่สามารถสะท้อนถึงพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างสมบูรณ์ การพิจารณาว่าประเทศมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเพียงใดจึงต้องพิจารณาข้อมูลอื่นที่สะท้อนความสามารถในการแข่งขันของประเทศประกอบด้วย เพราะนั่นจะเป็นตัวที่กำหนดจุดยืนของประเทศว่าในระยะยาวแล้วไทยจะอยู่อันดับที่เท่าไรของโลก

นอกจากนี้ ในปี 2015 หรืออีกเพียง 2 ปีเศษข้างหน้าเราจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ไทยยิ่งต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากที่จะไม่ให้ตกขบวนรถไฟ พร้อมทั้งต้องเพิ่มจุดแข็งให้แก่ประเทศควบคู่กันไป โดยเราอาจต้องเริ่มติดเครื่องพัฒนาศักยภาพของประเทศตั้งแต่วันนี้ โดยจะต้องไม่มองเพียงแต่ว่าเราแข่งกับตัวเองเท่านั้น แต่ควรมองประเทศอื่นอย่างรอบด้าน เพราะในระยะต่อไปการแข่งขันระหว่างประเทศจะมีความเข้มข้นมากขึ้น

สำหรับองค์ประกอบที่ 3 ที่ผมได้กล่าวไปแล้วในช่วงแรกๆ คือ การเติบโตต้องมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน ช่วยให้ประชาชนมีค่าใช้จ่ายในการครองชีพที่ไม่สูงจนเกินไป รวมถึงการกระจายโอกาสในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานให้ประชาชนทุกคนอย่างทั่วถึง ซึ่งอัตราการขยายตัวของ GDP ไม่สามารถสะท้อนข้อมูลเชิงคุณภาพเหล่านั้นได้ เพราะหากเศรษฐกิจเติบโต แต่ปล่อยให้เกิดความเหลื่อมล้ำทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ปล่อยให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ตกอยู่กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นเวลานาน ในที่สุดจะนำไปสู่ปัญหาทางสังคมและความไม่สงบทางการเมือง จนอาจส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศสะดุดลง

ดังนั้น เศรษฐกิจจะเติบโตแข็งแกร่งได้อย่างแท้จริง ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมควรที่จะลดลง ประชาชนต้องได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างถ้วนหน้า พร้อมกับโอกาสในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานทางสังคมอย่างเท่าเทียม ทั้งโอกาสการเข้าถึงการศึกษา การรักษาพยาบาล ความคุ้มครองทางกฎหมาย และแหล่งเงินทุน โดยในส่วนของ ธปท.ได้เริ่มไปบ้างแล้ว โดยมีการส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนทุกระดับโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น รวมทั้งยังมีการสอดส่องดูแลไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพทางการเงิน ด้วยการจัดตั้งศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน สายด่วน1213 เพื่อช่วยเหลือและคุ้มครองผู้บริโภค ส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีความรู้ทางการเงินและได้รับความเป็นธรรมตามสิทธิที่พึงได้

นอกจากนี้ ธปท.ยังมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมทางอ้อมจากการดูแลค่าครองชีพไม่ให้สูงจนเกินไป โดยการพยายามรักษาระดับราคาสินค้าไม่ให้ผันผวนมากนัก หรือที่เราเรียกกันว่าการดูแลเงินเฟ้อ ที่กล่าวเช่นนี้เพราะเงินเฟ้อเป็นศัตรูร้ายกาจที่กัดกร่อนอำนาจซื้อของประชาชน เงินเฟ้อที่สูงจะเปรียบเสมือนการเก็บภาษีจากคนจนมากกว่าคนรวยเมื่อเทียบกับระดับรายได้ของแต่ละกลุ่ม ดังนั้น หากราคาสินค้าอยู่ในระดับที่เหมาะสมก็จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในด้านค่าครองชีพของประชาชนได้อีกทางหนึ่ง

อย่างไรก็ดี เมื่อพูดถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ ประเด็นที่นิยมกล่าวกันในวงวิชาการคงหนีไม่พ้นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และหนทางการแก้ไขที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาคือการกระจายรายได้ที่เท่าเทียม แต่ผมขอใช้โอกาสนี้สร้างความเข้าใจว่า การกระจายรายได้ที่เท่าเทียมกันกับโอกาสในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานทางสังคมอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมนั้นแตกต่างกันอย่างไร

โดย “โอกาสในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานทางสังคมอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน” จะมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนกว่า “การกระจายรายได้ที่เท่าเทียมกัน” เนื่องจากการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานทางสังคมจะช่วยเพิ่มศักยภาพของทุนมนุษย์ และลดปัญหาทางสังคม ทำให้ประชาชนมีความกินดีอยู่ดี สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงในแต่ละก้าวของการเติบโตของประเทศ โดยไม่ได้ก่อให้เกิดแรงจูงใจที่จะลดทอนประสิทธิภาพลง ซึ่งจะแตกต่างจากแนวคิดของ “การกระจายรายได้ที่เท่าเทียมกัน” ที่อาจสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลดทอนประสิทธิภาพลง เพราะหากทุกคนทราบว่าไม่ว่าจะทำงานหรือไม่ทำงานจะได้รับรายได้ที่เท่ากัน สุดท้ายจะไม่เหลือใครที่อยากทำงานหรือหากต้องทำก็จะทำแบบไม่มีประสิทธิภาพนั่นเอง

องค์ประกอบสุดท้ายจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ประชาชนของเราจะต้องมีความกินอยู่ที่ดี จากการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม โดยให้ทุกคนมีโอกาสในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานทางสังคมและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เพื่อให้สิ่งนี้เป็นแรงเสริมให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมยืนหยัดอยู่บนเวทีโลกได้อย่างมั่นคง

“จากที่ได้กล่าวไปทั้งหมดนั้นคงจะพอทำให้ทุกท่านเข้าใจได้ว่า สิ่งที่ GDP ชี้วัดไม่ใช่ความแข็งแกร่ง แต่เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น เพราะนอกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว จำเป็นต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญอีก 3 องค์ประกอบ ได้แก่ ความสมดุลของการเติบโต ความมีประสิทธิภาพในการผลิตเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และมีการกระจายโอกาสให้ประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ซึ่งรวมถึงการมีอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำเพื่อรักษาอำนาจซื้อและมูลค่าสินทรัพย์ของประชาชนฐานราก”

เมื่อรวม 3 องค์ประกอบนี้กับ GDP ที่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องก็จะกลายเป็น 4 องค์ประกอบที่สำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตและแข็งแกร่งได้อย่างแท้จริง โดยองค์ประกอบที่กล่าวมาข้างต้นนั้นล้วนมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ซึ่งในฐานะผู้กำหนดนโยบาย ไม่ว่าผมหรือท่านผู้มีเกียรติทุกท่านก็ล้วนแต่มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางนโยบายของประเทศ พวกเราจึงอยู่ในฐานะที่จะร่วมกันสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญมรสุมอย่างเช่นเวลานี้

สุดท้ายนี้ ผมอยากจะขอฝากให้ทุกท่านช่วยกันกลับไปคิดถึงหนทางที่เราจะยื่นมือมาประสานกันโดยเริ่มตั้งแต่วันนี้ เพื่อร่วมกันสร้างรากฐานและแนวทางที่จะนำเศรษฐกิจไทยไปสู่การเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน นำมาซึ่งความกินดีอยู่ดีของประชาชน และช่วยให้ประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากภายในสู่ภายนอกอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้ไทยสามารถยืนหยัดทัดเทียมนานาประเทศบนเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิ

และท้ายที่สุด ผมขออัญเชิญพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2513 ความตอนหนึ่งว่า “ความเจริญของประเทศชาติเป็นความเจริญส่วนรวม ซึ่งเกิดจากผลของการกระทำของคนทั้งชาติ ถือได้ว่าทุกคนแบ่งหน้าที่กันทำประโยชน์ให้แก่ชาติ ตามความถนัดและความสามารถ และเกื้อกูลกันและกัน ไม่มีผู้ใดจะอยู่ได้และทำงานให้แก่ประเทศชาติได้โดยลำพังตนเอง”


กำลังโหลดความคิดเห็น