ASTVผู้จัดการรายวัน - ผวา! แดงอันธพาล..ผิดหวังไร้สัญญาณออก QE3 นักลงทุนแห่เทขายหุ้นไทย กดร่วง 15 จุด หวั่นวันนี้ผลตัดสินไม่โดนใจแดง โบรกฯ ประเมินดัชนีวันนี้ผันผวนหนัก แต่แรงเทขายไม่มาก ด้านประธานตลาดหุ้นไม่ห่วงศุกร์ 13 บอกประเทศไทยผ่านพ้นมาได้หลายรอบแล้ว เชื่อไม่มีเหตุรุนแรง ไม่ได้สั่งให้ผู้บริหารตลาดหุ้นเฝ้าระวังอะไรเป็นพิเศษ ส่วนสภาธุรกิจตลาดทุนชี้ หากผลออกมาเลวร้ายสุด จะเกิดแรงขายแค่ระยะสั้น เพราะหุ้นไทยพื้นฐานดี แถมเงินทุนต่างชาติยังไหลเข้า
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (12 ก.ค.) ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบ เหตุนักลงทุนผิดหวังที่ไม่มีสัญญาณการออกมาตรการ QE3 อีกทั้งปัจจัยลบในประเทศ นั่นคือ ผลคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ (13 ก.ค.) ทำให้ดัชนีผิดลบที่ระดับ 1,193.13 จุด ลดลง 15.54 จุด หรือ -1.29% มูลค่าการซื้อขาย 21,633.24 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,205.85 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,193.13 จุด
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 124 หลักทรัพย์ ลดลง 410 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 127 หลักทรัพย์ หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ INTUCH มูลค่าการซื้อขาย 1,534.39 ล้านบาท ปิดที่ 63.50 บาท ลดลง 2.75 บาท DTAC มูลค่าการซื้อขาย 1,366.31 ล้านบาท ปิดที่ 78.00 บาท ลดลง 1.25 บาท CPF มูลค่าการซื้อขาย 1,211.95 ล้านบาท ปิดที่ 35.25 บาท ลดลง 1.25 บาท ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,018.85 ล้านบาท ปิดที่ 200.00 บาท ลดลง 5.00 บาท และ KBANK มูลค่าการซื้อขาย 901.87 ล้านบาท ปิดที่ 162.00 บาท ลดลง 2.00 บาท
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นภูมิภาค หลังนักลงทุนผิดหวังรายงานการประชุมของเฟดที่ไม่ได้ระบุถึงการออกมาตรการ QE3 ซึ่งก่อนหน้านี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะมีการประกาศใช้ในการประชุมสิ้นเดือนนี้ ขณะเดียวกัน ในวันนี้ (13 ก.ค.) นักลงทุนมีความกังวลเรื่องผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ และการประกาศตัวเลขจีดีพีของจีน จึงทำให้เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นไทย
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (13 ก.ค.) คาดว่า ดัชนีจะแกว่งตัวผันผวน พร้อมให้แนวรับ 1,190 จุด แนวต้าน 1,200-1,215 จุด โดยนักลงทุนต้องรอการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวคิดว่า นักลงทุนต่างประเทศคงไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก ขณะที่นักลงทุนในประเทศ คงจะมีการเทขายไปล่วงหน้าแล้ว ทำให้วันนี้แรงขายคงไม่เยอะมาก
น.ส.ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ นักวิเคราะห์กลยุทธ์ ฝ่ายตลาดอนุพันธ์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า การซื้อขาย Set50 Futures วานนี้ แกว่งตัวลงตามตลาดต่างประเทศ หลังเฟดรายงานการประชุมที่ระบุยังไม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ QE3 หากจะออกมาตรการดังกล่าว ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องเลวร้ายกว่านี้ ดังนั้น นักลงทุนจึงขายทั้งหุ้นและสินต้าโภคภัณฑ์เพื่อลดความเสี่ยง และหันไปถือเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐวันนี้แข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 1 ปีเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญ เนื่องจากความวิตกกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว รวมถึงความกังวลเศรษฐกิจจีน โดยจะมีการประกาศตัวเลขจีดีพีของจีนในไตรมาส 2/55 พรุ่งนี้ คาดว่าจะเติบโต 6-7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี เป็นปัจจัยกดดันให้ตลาดหุ้น รวมทั้งหุ้นไทยปรับตัวลง
ขณะที่การเมืองในประเทศ ยังต้องติดตามถึงการแถลงของศาลรัฐธรรมนูญในวันพรุ่งนี้ ซึ่งมีความไม่แน่นอน และหากออกมาในเชิงลบก็จะทำให้ตลาดปรับตัวลงแรงในสัปดาห์ถัดไปได้ แนวโน้มวันพรุ่งนี้ ตลาดน่าจะแกว่งตัวในกรอบ โดยสัญญาณทางเทคนิคอ่อนแอลงเนื่องมาจากการเมือง ให้แนวรับไว้ที่ 815-820 จุด และแนวต้านที่ 830-835 จุด
ประธานตลาดหุ้นไม่ห่วงผลตัดสินศาล
นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวถึงความกังวลของนักลงทุนกับสถานการณ์ในวันที่ 13 ก.ค.ที่จะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 ว่า ตนไม่อยากให้มีความตื่นตระหนกกันเกินเหตุ แม้ความไม่ประมาทเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งในส่วนของตลาดหุ้นไม่มีความกังวลอะไร ไม่ได้มีการสั่งการให้ผู้บริหาร หรือบอร์ดต้องเตรียมการอะไรเป็นพิเศษ เพราะหากมีเหตุการณ์ที่ผิดปกติในการลงทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีกฎเกณฑ์ขั้นตอน และระบบที่รองรับไว้เป็นปกติอยู่แล้ว เช่น หากราคาหุ้นปรับตัวลงแรงถึง 10% ก็จะมีระบบเซอร์กิตเบรกเกอร์ที่ให้พักการซื้อขายชั่วคราว 1 ชั่วโมง เพื่อให้นักลงทุนมีสติ และมีเวลาประเมินสถานการณ์ และข้อมูล
ทั้งนี้ ประเมินว่า ไม่น่าจะมีอะไรรุนแรง หากมองในเชิงความเรียบร้อย และผลประโยชน์ของบ้านเมือง ผลที่ออกมาน่าจะเป็นลักษณะที่ไม่มีฝ่ายใดแพ้ หรือชนะ เพื่อให้บ้านเมืองได้เดินหน้าไปต่อได้ เพราะประเทศไทยไม่ได้จะจบสิ้นไปในปีนี้ หรือวันนี้
“เราจะต้องอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยหลายพันปี เราผ่านศุกร์ 13 กันมาหลายรอบแล้ว อย่างไรก็ตาม โดยหน้าที่ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็มีการติดตามสถานการณ์อยู่แล้ว”
ด้านนายไพบูลย์ นรินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า หากผลตัดสินออกมาในเชิงลบถึงขั้นยุบพรรค หรืออาจกระทบต่อความมั่นคงของรัฐบาล ก็น่าจะกดดันให้เกิดแรงเทขายกดตลาดหุ้นให้ปรับตัวลงในระยะสั้น และตลาดจะชะลอตัวเพื่อดูสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป แต่ด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนยังทำกำไรได้ดี ขณะที่สภาพคล่องกระแสเงินทุนต่างชาติในตลาดโลกยังมีมาก และยังเข้าลงทุนหุ้นไทยจะเป็นตัวหนุนให้ตลาดหุ้นฟื้นกลับขึ้นมาได้ แต่หากผลออกมาได้กลางๆ มีทางออกให้ทั้ง 2 ฝ่าย ตลาดหุ้นก็น่าจะดีดตัวขึ้นได้ทันที ซึ่งยังมั่นใจว่า ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
ของตลาดหุ้นไทย ยังประเมินว่าดัชนีสิ้นปีนี้จะขึ้นไปถึงเป้าหมายที่ 1,300 จุดได้