“บางจาก” เร่งเจรจา “ปตท.” ร่วมบริหารจัดการออเดอร์น้ำมันดิบที่ตกค้าง และซัปพลายน้ำมันสำเร็จรูป พร้อมงดรับส่งมอบน้ำมันจากต่างประเทศ 3 เดือน เพื่อซ่อมหน่วยกลั่น
นายอนุสรณ์ แสงอิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP) เปิดเผยว่า บริษัทได้ข้อสรุปแผนบริหารจัดการน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูปในช่วงที่ปิดซ่อมแซมโรงกลั่นในส่วนที่ถูกเพลิงไหม้แล้ว โดยจะอาศัยเครือข่ายในกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน (PTT) มาช่วยเหลือทั้งในด้านการรับน้ำมันดิบตามออร์เดอร์ตกค้างไปบริหาร และซัปพลายน้ำมันสำเร็จรูป พร้อมกันนั้น ก็จะเลื่อนการรับมอบน้ำมันดิบจากต่างประเทศล็อตใหม่ออกไปก่อน
ทั้งนี้ การบริหารจัดการในส่วนแรก คือ ส่วนน้ำมันดิบ โดยน้ำมันดิบที่ได้สั่งซื้อไปตั้งแต่ก่อนจะเกิดเพลิงไหม้ปริมาณหลายแสนบาร์เรล และมีกำหนดรับมอบไปแล้วนั้น ปตท. รับไปบริหารจัดการให้ทั้งหมด ขณะที่น้ำมันดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศให้เลื่อนการรับมอบทั้งหมดอย่างน้อย 3 เดือน โดยเป็นการรับซื้อจากมาเลเซีย อินโดนีเซีย บูรไน และออสเตรเลีย เป็นหลัก
ส่วนน้ำมันดิบที่รับซื้อจากแหล่งในประเทศ คาดว่าวันศุกร์นี้ หรืออย่างช้าวันจันทร์ในสัปดาห์หน้า หอกลั่นที่ 2 ที่ไม่ได้ถูกเพลิงไหม้จะกลับมาเดินเครื่องได้ตามปกติ กำลังการกลั่น 4 หมื่นบาร์เรลต่อวัน เมื่อรวมกับหน่วยกลั่นสุญญากาศ และหน่วยไฮโครแครกเกอร์ที่มีกำลังการกลั่น 5 พันบาร์เรลต่อวัน ก็จะสามารถรับน้ำมันดิบไปได้รวม 4.5 หมื่นบาร์เรลต่อวัน
ปัจจุบัน บางจากรับน้ำมันดิบในประเทศจากแหล่งสิริกิติ์ แหล่งสุโขทัย และแหล่งเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นน้ำมันดิบโลว์ซัลเฟอร์ เมื่อกลั่นแล้วจะได้ผลิตน้ำมันเตาเกรดพิเศษที่ลูกค้าในญี่ปุ่นต้องการ ดังนั้น ก็จะทำให้การส่งออกน้ำมันเตาไปญี่ปุ่นทำได้ตามปกติ
ส่วนที่ 2 คือ น้ำมันสำเร็จรูป แบ่งเป็นการสั่งซื้อจากโรงกลั่นในประเทศ ได้แก่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) บริษัท โรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เบื้องต้น จะจัดซื้อประมาณ 40-50 ล้านลิตร อีกส่วนจะนำเข้ามาในเดือนนี้จากสิงคโปร์ 50 ล้านลิตร ส่วนเดือนหน้า จะสั่งเข้ามาอีก 70-100 ล้านลิตร ซึ่งจะเน้นเบนซิน-ดีเซลเป็นหลัก รวมทั้งน้ำมันอากาศยาน
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า บริษัทยังมีสต๊อกน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ในคลังประมาณ 1.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งเพียงพอใช้ได้ไปอีกระยะหนึ่ง จึงไม่น่าจะเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำมันขึ้น
สำหรับการทำความเข้าใจกับชุมชนรอบโรงกลั่นหลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้นั้น ขณะนี้ ไม่มีข้อร้องเรียนเข้ามา โดยชุมชนต่างก็เข้าใจดี ขณะนี้ บริษัทก็ได้เจรจากับทาง กทม.เพื่อขอแบ่งซื้อที่ดินติดโรงงานไม้อัดราว 10 ไร่ ซึ่งจะนำมาพัฒนาเป็นพื้นที่สีเขียวที่จะเป็นแนวกันชนระหว่างชุมชนด้านทิศใต้กับโรงกลั่น ส่วนชุมชนด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ บริษัทก็พร้อมจะรับซื้อที่ดินหากมีความประสงค์จะขาย
พร้อมกันนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาจากต่างประเทศมาช่วยดูเรื่องการบริหารจัดการความปลอดภัยของโรงกลั่น เพื่อสร้างความมั่นใจมากขึ้นไปอีกให้ถึง 100% ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก