ผู้บริหาร ปตท.ชี้ก๊าซธรรมชาติจะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของโลก เนื่องจากน้ำมันดิบ และถ่านหินล้วนเป็นพลังงานที่หมดไป แต่การใช้พลังงานในปัจจุบันมีการมองถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และก๊าซเป็นพลังงานที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยที่สุด จึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และราคามีเสถียรภาพกว่าน้ำมัน
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มการใช้พลังงานของโลกว่า โอกาสที่ก๊าซธรรมชาติจะเข้ามาเป็นพลังงานของโลกในอนาคตมีความเป็นไปได้ เนื่องจากทั้งน้ำมันดิบ ถ่านหิน หรือก๊าซ ล้วนเป็นพลังงานที่หมดไป แต่การใช้พลังงานในปัจจุบันมีการมองถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และก๊าซเป็นพลังงานที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยที่สุด จึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำมันและถ่านหิน
นายไพรินทร์กล่าวว่า ขณะเดียวกัน เรื่องของราคาก็จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การใช้ก๊าซจะมีมากขึ้น เนื่องจากหากเทียบกับราคาน้ำมันดิบที่ค่อนข้างผันผวน แต่ก๊าซราคาจะมีเสถียรภาพมากกว่า เนื่องจากการซื้อขายก๊าซจะเป็นสัญญาระยะยาว ทำให้สามารถดูแลราคาให้มีเสถียรภาพได้ง่ายกว่า ทำให้ความนิยมในการใช้ก๊าซจะเพิ่มขึ้น
สำหรับในส่วนของ ปตท.ก็เตรียมการรองรับการใช้ก๊าซที่จะมากขึ้นในอนาคต โดยมีทั้งส่วนการนำเข้าที่ ปตท.มีการสร้างท่าเรือและเทอร์มินอลรองรับก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) และให้ ปตท.สผ.ซึ่งเป็นบริษัทลูกหาสัมปทานแหล่งก๊าซใหม่ๆ ทั้งที่ออสเตรเลียและอเมริกาเหนือ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องมีการพิจารณาคือ การอุดหนุนราคาพลังงาน ซึ่งยอมรับว่าหลายประเทศในโลกรวมทั้งไทยยังมีการอุดหนุนราคาพลังงานอยู่ แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วจะยกเลิกการอุดหนุนราคาพลังงาน เช่น สิงคโปร์ สหรัฐฯ เพื่อให้ราคาพลังงานสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยที่รัฐบาลได้มีมาตรการที่จะสร้างรายได้ให้ประชาชนสูงขึ้นเพื่อรองรับราคาพลังงานที่แท้จริง
ดังนั้น หากไม่มีการยกเลิกการอุดหนุนราคาและปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดโดยที่มีการกำหนดแผนการพัฒนาไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วของไทยก็จะทำยากขึ้น
ทั้งนี้ ในการประชุม World Gas 2012 ครั้งนี้ สหพันธ์ก๊าซนานาชาติประเมินว่า ในปี ค.ศ. 2050 ก๊าซจะกลายเป็นพลังงานหลักของโลกแทนน้ำมัน จากปัจจุบันมีการใช้ก๊าซเป็นพลังงานอยู่ประมาณ 1 ใน 5 ของโลก สังเกตจากปริมาณการใช้ก๊าซเป็นพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสการเติบโตโดยเฉลี่ยร้อยละ 40 สำหรับประเทศไทยมีการใช้ก๊าซในภาคเศรษฐกิจต่างๆ เพิ่มขึ้น
โดยข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีการใช้ก๊าซในโรงไฟฟ้ามากที่สุดเป็นสัดส่วนร้อยละ 59 ในโรงแยกก๊าซธรรมชาติร้อยละ 20.5 โรงงานอุตสาหกรรมร้อยละ 14.1 และในภาคขนส่งในส่วนของเอ็นจีวีร้อยละ 6.4