เอเชีย เอวิเอชั่น เคาะราคาไอพีโอ 3.70 บาทต่อหุ้น เปิดจอง 22-25 พ.ค. เทรดวันแรก 31 พ.ค.นี้ ดันมาร์เกตแคปตลาดหุ้นไทยเพิ่มอีก 1.8 หมื่นล้านบาท ด้านผู้บริหารมั่นใจราคาหุ้นวันแรกเหนือจอง แม้ภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ไม่ค่อยดี เหตุนักลงทุนสถาบันสนใจจองซื้อล้นถึง 11 เท่า ยันผู้ถือหุ้นเดิมขายบิ๊กล็อตไม่กระทบราคาหุ้น หวังนำเงินระดมทุนจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนไทยแอร์เอเชียเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นเป็น 55% พร้อมคาดรายได้-กำไรไทยแอร์เอเชียปีนี้โต 20-25%
นายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ซึ่งประกอบธุรกิจด้านการลงทุนโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (โฮลดิ้งคอมพานี)ปัจุบัน เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เพียงแห่งเดียว คือ บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทกำหนดราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) ที่ราคา 3.70 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะเปิดให้จองซื้อหุ้นในวันที่ 23-25 พฤษภาคมนี้ 1,212.5 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.10 บาท แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ 750 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนเดิม 462.50 ล้านหุ้น ซึ่งจะได้เม็ดเงินระดมทุนรวม 4,486.25 ล้านบาท โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้
“บริษัทได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายที่ 3.30-3.80 บาท ซึ่งนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจจองซื้อหุ้น (บุ๊กบิลดิ้ง) ที่ราคา 3.80 บาท ล้นถึง 11 เท่า แต่จากที่ภาวะตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยดีจากผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศนั้น บริษัทจึงสรุปราคาเสนอขายที่ 3.70 บาทต่อหุ้น ซึ่งให้ส่วนลดนักลงทุน” นายทัศพลกล่าว
สำหรับการที่ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงไม่ค่อยดีจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบจากยุโรปนั้น คาดว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของบริษัท เนื่องจากบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานดี และจากการที่ไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) แก่นักลงทุนสถาบันในประเทศไทย และต่างประเทศ ให้ความสนใจจองซื้อหุ้นบริษัทล้นสูงถึง 10 กว่าเท่า ขณะนี้หุ้นก็ไม่พอที่จะจัดสรร จึงเชื่อว่าราคาหุ้นของบริษัทจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาจองได้
ทั้งนี้ จากวันเข้าซื้อขายวันแรก กลุ่มผุ้ถือหุ้นเดิมจะทำการขายหุ้นสามัญของ AAV ที่ตนถืออยู่จำนวนหนึ่งจำนวนรวมไม่เกิน 727.5 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 15% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ AAV บนกระดานรายใหญ่ (บิ๊กล็อต) ซึ่งราคาหุ้นจะเท่ากับราคาเสนอขายไอพีโอ ซึ่งเงินที่ได้จากการทำบิ๊กล็อตไปชำหนี้ให้แก่ทางธนาคารเครดิตสวิสประมาณกว่า 2 พันล้าบาท เพื่อนำหุ้นที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันกลับมาหมุนเวียนในตลาด โดยการเสนอขายบิ๊กล็อตนี้จะไม่มีผลกระทบต่อราคา และการลงทุนของนักลงทุนรายย่อย จากที่ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมได้มีการเจรจากับทางผู้ซื้อหุ้นแล้ว
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ไปจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ของบริษัท ไทยแอร์เอเชีย เพื่อทำให้สัดส่วนการถือหุ้นในไทยแอร์เอเชีย เพิ่มเป็น 55% จากปัจจุบันที่ถือหุ้นในสัดส่วน 51% จากที่ทางไทยแอร์เอเชียมีนโยบายที่จะขยายฝูงบินโดยการซื้อเครื่องบินรุ่นแอร์บัส A 320 เพิ่มเติมเป็น 27 ลำ สิ้นปีนี้ จากปัจจุบันที่มี 24 ลำ และในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 48 ลำ และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นายทัศพลกล่าวว่า บริษัทคาดว่าไทยแอร์เอเชีย ปีนี้จะมีรายได้อยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากปี 54 ที่มีรายได้ 1.6 หมื่นล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2.02 พันล้านบาท จากที่การเพิ่มขึ้นของผู้โดยสารเข้ามาใช้บริการจำนวน 8 ล้านคน ในปีนี้ จากปีก่อนที่ 7.2 ล้านคน โดยในไตรมาส 1/55 มีรายได้ 4,800 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 627 ล้านบาท โดยทางบริษัทคาดว่ากำไรสุทธิของ AAV ปีนี้ก็จะเติบโตในทิศทางเดียวกับการเติบโตของรายได้
ทั้งนี้ จากงวดสิ้นปี 54 ไทยแอร์เอเชีย มีผลขาดทุนสะสมอยู่ 900 ล้านบาทนั้น ทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทติดลบอยู่ 546 ล้านหุ้น แต่ ณ ไตรมาส 1/55 บริษัทได้มีการล้างขาดทุนสะสมหมดแล้ว โดยการนำทุนจดทะเบียนที่มี 400 ล้านบาท และกำไรสุทธิไตรมาส 1/55 ที่มี 627 ล้านบาท นำไปล้างขาดทุนสะสมแล้ว ทำให้มีส่วนผู้ถือหุ้นเป็นบวกแล้ว 75 ล้านบาท
น.ส.สุวภา เจริญยิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หุ้น AAV มีความน่าสนใจลงทุนมาก จากที่มีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องในอัตรา 20-30% ทุกปี ทั้งในส่วนรายได้และกำไรสุทธิ โดยถือว่าเป็นหุ้นที่มีผลประกอบการเติบโตดี (โกรสสต๊อก) และไทยแอร์เอเชียถือว่าเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอสต์ แอร์ไลน์) ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ของประเทศไทย ที่อยู่ที่ 60% มีการบริหารจัดการด้วยทีมงานที่มีคุณภาพ
ทั้งนี้ แม้ภาวะตลาดทุนโลกจะไม่ได้รับปัจจัยลบจากทางยุโรป แต่จากการที่ AAV ได้มีการเดินสายโรดโชว์นั้น นักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจที่จะเข้ามาจองซื้อหุ้นสูงกว่าหุ้นที่จัดสรรให้ถึง 11 เท่า ซึ่งหาได้ยากที่นักลงทุนจะให้ความสนใจล้นมากขนาดนี้ โดย AAV มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ณ ราคาไอพีโอที่ 1.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ไทยแอร์เอเชีย มีมาร์เกตแคปที่ 3.2 หมื่นล้านบาท
นายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ซึ่งประกอบธุรกิจด้านการลงทุนโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (โฮลดิ้งคอมพานี)ปัจุบัน เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เพียงแห่งเดียว คือ บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทกำหนดราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) ที่ราคา 3.70 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะเปิดให้จองซื้อหุ้นในวันที่ 23-25 พฤษภาคมนี้ 1,212.5 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.10 บาท แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ 750 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนเดิม 462.50 ล้านหุ้น ซึ่งจะได้เม็ดเงินระดมทุนรวม 4,486.25 ล้านบาท โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้
“บริษัทได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายที่ 3.30-3.80 บาท ซึ่งนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจจองซื้อหุ้น (บุ๊กบิลดิ้ง) ที่ราคา 3.80 บาท ล้นถึง 11 เท่า แต่จากที่ภาวะตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยดีจากผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศนั้น บริษัทจึงสรุปราคาเสนอขายที่ 3.70 บาทต่อหุ้น ซึ่งให้ส่วนลดนักลงทุน” นายทัศพลกล่าว
สำหรับการที่ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงไม่ค่อยดีจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบจากยุโรปนั้น คาดว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของบริษัท เนื่องจากบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานดี และจากการที่ไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) แก่นักลงทุนสถาบันในประเทศไทย และต่างประเทศ ให้ความสนใจจองซื้อหุ้นบริษัทล้นสูงถึง 10 กว่าเท่า ขณะนี้หุ้นก็ไม่พอที่จะจัดสรร จึงเชื่อว่าราคาหุ้นของบริษัทจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาจองได้
ทั้งนี้ จากวันเข้าซื้อขายวันแรก กลุ่มผุ้ถือหุ้นเดิมจะทำการขายหุ้นสามัญของ AAV ที่ตนถืออยู่จำนวนหนึ่งจำนวนรวมไม่เกิน 727.5 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 15% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ AAV บนกระดานรายใหญ่ (บิ๊กล็อต) ซึ่งราคาหุ้นจะเท่ากับราคาเสนอขายไอพีโอ ซึ่งเงินที่ได้จากการทำบิ๊กล็อตไปชำหนี้ให้แก่ทางธนาคารเครดิตสวิสประมาณกว่า 2 พันล้าบาท เพื่อนำหุ้นที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันกลับมาหมุนเวียนในตลาด โดยการเสนอขายบิ๊กล็อตนี้จะไม่มีผลกระทบต่อราคา และการลงทุนของนักลงทุนรายย่อย จากที่ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมได้มีการเจรจากับทางผู้ซื้อหุ้นแล้ว
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ไปจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ของบริษัท ไทยแอร์เอเชีย เพื่อทำให้สัดส่วนการถือหุ้นในไทยแอร์เอเชีย เพิ่มเป็น 55% จากปัจจุบันที่ถือหุ้นในสัดส่วน 51% จากที่ทางไทยแอร์เอเชียมีนโยบายที่จะขยายฝูงบินโดยการซื้อเครื่องบินรุ่นแอร์บัส A 320 เพิ่มเติมเป็น 27 ลำ สิ้นปีนี้ จากปัจจุบันที่มี 24 ลำ และในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 48 ลำ และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นายทัศพลกล่าวว่า บริษัทคาดว่าไทยแอร์เอเชีย ปีนี้จะมีรายได้อยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากปี 54 ที่มีรายได้ 1.6 หมื่นล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2.02 พันล้านบาท จากที่การเพิ่มขึ้นของผู้โดยสารเข้ามาใช้บริการจำนวน 8 ล้านคน ในปีนี้ จากปีก่อนที่ 7.2 ล้านคน โดยในไตรมาส 1/55 มีรายได้ 4,800 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 627 ล้านบาท โดยทางบริษัทคาดว่ากำไรสุทธิของ AAV ปีนี้ก็จะเติบโตในทิศทางเดียวกับการเติบโตของรายได้
ทั้งนี้ จากงวดสิ้นปี 54 ไทยแอร์เอเชีย มีผลขาดทุนสะสมอยู่ 900 ล้านบาทนั้น ทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทติดลบอยู่ 546 ล้านหุ้น แต่ ณ ไตรมาส 1/55 บริษัทได้มีการล้างขาดทุนสะสมหมดแล้ว โดยการนำทุนจดทะเบียนที่มี 400 ล้านบาท และกำไรสุทธิไตรมาส 1/55 ที่มี 627 ล้านบาท นำไปล้างขาดทุนสะสมแล้ว ทำให้มีส่วนผู้ถือหุ้นเป็นบวกแล้ว 75 ล้านบาท
น.ส.สุวภา เจริญยิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หุ้น AAV มีความน่าสนใจลงทุนมาก จากที่มีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องในอัตรา 20-30% ทุกปี ทั้งในส่วนรายได้และกำไรสุทธิ โดยถือว่าเป็นหุ้นที่มีผลประกอบการเติบโตดี (โกรสสต๊อก) และไทยแอร์เอเชียถือว่าเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอสต์ แอร์ไลน์) ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ของประเทศไทย ที่อยู่ที่ 60% มีการบริหารจัดการด้วยทีมงานที่มีคุณภาพ
ทั้งนี้ แม้ภาวะตลาดทุนโลกจะไม่ได้รับปัจจัยลบจากทางยุโรป แต่จากการที่ AAV ได้มีการเดินสายโรดโชว์นั้น นักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจที่จะเข้ามาจองซื้อหุ้นสูงกว่าหุ้นที่จัดสรรให้ถึง 11 เท่า ซึ่งหาได้ยากที่นักลงทุนจะให้ความสนใจล้นมากขนาดนี้ โดย AAV มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ณ ราคาไอพีโอที่ 1.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ไทยแอร์เอเชีย มีมาร์เกตแคปที่ 3.2 หมื่นล้านบาท