“โศภชา” แจงรายได้จากการดำเนินธุรกิจทั้งจากโครงการพลังงานทดแทน และยอดขายทั้งในและต่างประเทศขยายตัวโดดเด่น ขานรับกำไรจากการขายหุ้น “จี-พาวเวอร์ ซอร์ซ” ระบุ ภาพของ GUNKUL ต่อจากนี้ยังสดใสตามดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น พร้อมเดินหน้าลุยลงทุนด้านพลังงานทดแทนทั้งใน และต่างประเทศ สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ถือหุ้น และนักลงทุน
น.ส.โศภชา ดำรงปิยวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือGUNKUL เปิดเผยถึงผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2555 สิ้นสุด วันที่ 31 มีนาคม 55 ของบริษัท และบริษัทย่อยว่า มีผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 395.28 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 57.90 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 337.38 ล้านบาท คิดเป็นการขยายตัวถึง 582.69% เหตุที่ผลประกอบการไตรมาส 1/2555 ของกลุ่มบริษัท GUNKUL โดดเด่นขึ้นมาก เนื่องจากกลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 1,388.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันกับปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 470.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 918.14 ล้านบาท คิดเป็น 195.10%
ทั้งนี้ มีการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากการรับเหมางานก่อสร้าง 488.75 ล้านบาท รายได้จากการจำหน่ายเงินลงทุนใน บริษัท จี-พาวเวอร์ ซอร์ซ จำกัด 416.22 ล้านบาท (ทั้งนี้ ได้รวมผลกำไรส่วนที่เกิดจากการรับรู้มูลค่าเงินลงทุนในบริษัทดังกล่าวด้วยมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่โอนจำหน่ายเงินลงทุนให้กับผู้ร่วมทุน และขาดซึ่งอำนาจในการควบคุม 97.01 ล้านบาทแล้ว)
“จากความมุ่งมั่นในการทำงานของทีมผู้บริหารและพนักงานของบริษัท รวมถึงปริมาณงานที่เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 26 เมกะวัตต์ จากบริษัท จี-พาวเวอร์ ซอร์ซ จำกัด (GPS) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 30.9 เมกะวัตต์ ของบริษัท กันกุล พาวเวอร์เจน จำกัด เข้ามาหนุนส่งผลทำให้ผลประกอบไตรมาส 1/2555 ของกลุ่มบริษัทกันกุลออกมาโดดเด่น และอยู่ในระดับน่าพอใจอย่างยิ่ง”
สำหรับทิศทางธุรกิจของบริษัทในช่วงที่เหลือของปีนี้ เชื่อว่าน่าจะยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตามความต้องการในอุตสาหกรรมระบบไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสแรก โดยบริษัทยังคงมีแผนในการลงทุนด้านพลังงานทดแทนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อต่อยอดธุรกิจ ซึ่งปีนี้บริษัทตั้งเป้าส่งออกไปที่ประเทศสหภาพพม่าไว้ที่ 1,250 ล้านบาท จากปัจจุบัน มีคำสั่งซื้อเข้ามาแล้วประมาณ 410 ล้านบาท และจากการที่มีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 1,000 กว่าล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมโครงการที่ยื่นประมูลแล้ว และเตรียมยื่นอีกกว่า 3,000 ล้านบาทในปีนี้ ดังนั้น จึงคาดว่าปี 55 ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทจะเติบโตตามเป้าที่วางไว้ โดยไม่น้อยกว่า 60% จากปีก่อน