บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ อวดกำไรไตรมาสนี้ 1.7 พันล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 89% ผลจากยอดขายที่เติบโต และรายได้ค่าเช่าและบริการเติบโต และไม่มีค่าใช้จ่ายผิดปกติเพิ่มขึ้น อีกทั้งการร่วมมือกับปั๊มน้ำมันบางจากเพิ่มศักยภาพในการขยายสาขา ส่งผลให้กำไรขั้นต้นงวดนี้ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12.1% เป็นผลจากการเจรจาต่อรองกับคู่ค้าโดยได้รับประโยชน์เพิ่มจากการรวมยอดสั่งซื้อที่มาจากการควบรวมธุรกิจจากการเข้าซื้อกิจการคาร์ฟูร์ฯ และบันทึกเงินชดเชยจากการประกันอุทกภัย
น.ส.รำภา คำหอมรื่น รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIGC กล่าวว่า กำไรงวดนี้ 1,777 ล้านบาท เพิ่มจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 941 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 836 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 89% ผลจากไตรมาสนี้บริษัท และบริษัทย่อยมีรายได้ 26,484 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 1,654 ล้านบาท หรืออัตรา 6.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งการเติบโตนี้เติบโตเป็นจากยอดขายของสาขาเดิมที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งเนื่องจากความสำเร็จในการจัดโปรโมชันต่างๆ
โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร การกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งของสาขาราชดำริในเดือนเมษายน 54 การเปิดสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังปี 54 และในไตรมาสแรกปี 55 พร้อมกับเมื่อเดือนมีนาคม 55 บริษัทฯ ประกาศความร่วมมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัท บางจากปิโตรเลียม จากัด (มหาชน) ซึ่งการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพที่จะขยายสาขามินิบิ๊กซีเพิ่มเติมกว่า 300 สาขาในสถานีบริการน้ามันบางจากในอนาคต โดยในระยะแรกจะเปิดสาขานาร่องก่อน 5 สาขา ในสถานีบริการน้ามันบางจากในไตรมาส 2 ปี 55 และยังจะขยายสาขาเพิ่มต่อเนื่อง
ขณะที่บริษัทมีรายได้ค่าเช่าและค่าบริการไตรมาส 1 ปี 55 มี 1,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 253 ล้านบาท หรือ 15.4% การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากการเพิ่มพื้นที่ให้เช่าจากการเปิดสาขาใหม่ 5 สาขา ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 54 และ 1 สาขาใน ไตรมาส 1 ปี 55 การ
กลับมาเปิดบริการอีกครั้งของสาขาราชดำริในเดือนเมษายน 54 การเติบโตจากผลประโยชน์เพิ่มที่ได้รับจากการซื้อกิจการคาร์ฟูร์ (ประเทศไทย) การบริหารจัดการที่ทำให้อัตราพื้นที่ให้เช่า (Occupancy rate) อยู่ในระดับสูงถึง 97% และผลลัพธ์จากการปรับปรุงสาขาเดิมและขยายพื้นที่ให้เช่าในปลายปี 54
สำหรับกำไรขั้นต้นงวดนี้มี 3,975 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 430 ล้านบาท หรืออัตรา 12.1% บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเจรจาต่อรองกับคู่ค้าโดยได้รับประโยชน์เพิ่มจากการรวมยอดสั่งซื้อที่มาจากการควบรวมธุรกิจจากการเข้าซื้อกิจการ คาร์ฟูร์ (ประเทศไทย) ส่วนรายได้อื่นเพิ่มขึ้นผลจากการควบรวมกิจการ และการบันทึกเงินชดเชยจากการทำประกันอุทกภัย
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง ผลจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นไม่เป็นปกติอันเกิดขึ้นจากการซื้อกิจการคาร์ฟูร์ฯ ส่วนค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เกิดจากการกู้ยืมเงินเข้าซื้อกิจการของคาร์ฟูร์ฯ บริษัทฯ ตัดสินใจที่จะขยายเวลาในการกู้ยืมเงินไปอีก 6 เดือน จากวันครบกาหนดเดิมในเดือนมกราคม 55 ไปสิ้นสุดในเดือนกรกฎาคม 55 ขณะนี้ บริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างการเจรจา และพิจารณารูปแบบต่างๆ กับธนาคาร หรือสถาบันการเงินเพื่อรีไฟแนนซ์เงินกู้ดังกล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 55 คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้ดำเนินการจัดสรรหุ้นสามัญจดทะเบียนที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายของบริษัทฯ ไม่เกิน 23.6 ล้านหุ้น โดยวีธีเสนอขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง โดยหุ้นดังกล่าวคิดเป็น 2.9% ของหุ้นทั้งหมด
และการเสนอขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง จะทาให้บริษัทฯ สามารถดำเนินกลยุทธ์ในการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และเร่งการขยายสาขาขนาดเล็กตามที่ได้เคยประกาศไว้เมื่อเดือนตุลาคม 54 การเสนอขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงครั้งนี้จะถูกเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีวันที่ 30 เมษายน 55 และคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 55
น.ส.รำภา คำหอมรื่น รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIGC กล่าวว่า กำไรงวดนี้ 1,777 ล้านบาท เพิ่มจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 941 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 836 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 89% ผลจากไตรมาสนี้บริษัท และบริษัทย่อยมีรายได้ 26,484 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 1,654 ล้านบาท หรืออัตรา 6.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งการเติบโตนี้เติบโตเป็นจากยอดขายของสาขาเดิมที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งเนื่องจากความสำเร็จในการจัดโปรโมชันต่างๆ
โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร การกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งของสาขาราชดำริในเดือนเมษายน 54 การเปิดสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังปี 54 และในไตรมาสแรกปี 55 พร้อมกับเมื่อเดือนมีนาคม 55 บริษัทฯ ประกาศความร่วมมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัท บางจากปิโตรเลียม จากัด (มหาชน) ซึ่งการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพที่จะขยายสาขามินิบิ๊กซีเพิ่มเติมกว่า 300 สาขาในสถานีบริการน้ามันบางจากในอนาคต โดยในระยะแรกจะเปิดสาขานาร่องก่อน 5 สาขา ในสถานีบริการน้ามันบางจากในไตรมาส 2 ปี 55 และยังจะขยายสาขาเพิ่มต่อเนื่อง
ขณะที่บริษัทมีรายได้ค่าเช่าและค่าบริการไตรมาส 1 ปี 55 มี 1,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 253 ล้านบาท หรือ 15.4% การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากการเพิ่มพื้นที่ให้เช่าจากการเปิดสาขาใหม่ 5 สาขา ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 54 และ 1 สาขาใน ไตรมาส 1 ปี 55 การ
กลับมาเปิดบริการอีกครั้งของสาขาราชดำริในเดือนเมษายน 54 การเติบโตจากผลประโยชน์เพิ่มที่ได้รับจากการซื้อกิจการคาร์ฟูร์ (ประเทศไทย) การบริหารจัดการที่ทำให้อัตราพื้นที่ให้เช่า (Occupancy rate) อยู่ในระดับสูงถึง 97% และผลลัพธ์จากการปรับปรุงสาขาเดิมและขยายพื้นที่ให้เช่าในปลายปี 54
สำหรับกำไรขั้นต้นงวดนี้มี 3,975 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 430 ล้านบาท หรืออัตรา 12.1% บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเจรจาต่อรองกับคู่ค้าโดยได้รับประโยชน์เพิ่มจากการรวมยอดสั่งซื้อที่มาจากการควบรวมธุรกิจจากการเข้าซื้อกิจการ คาร์ฟูร์ (ประเทศไทย) ส่วนรายได้อื่นเพิ่มขึ้นผลจากการควบรวมกิจการ และการบันทึกเงินชดเชยจากการทำประกันอุทกภัย
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง ผลจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นไม่เป็นปกติอันเกิดขึ้นจากการซื้อกิจการคาร์ฟูร์ฯ ส่วนค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เกิดจากการกู้ยืมเงินเข้าซื้อกิจการของคาร์ฟูร์ฯ บริษัทฯ ตัดสินใจที่จะขยายเวลาในการกู้ยืมเงินไปอีก 6 เดือน จากวันครบกาหนดเดิมในเดือนมกราคม 55 ไปสิ้นสุดในเดือนกรกฎาคม 55 ขณะนี้ บริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างการเจรจา และพิจารณารูปแบบต่างๆ กับธนาคาร หรือสถาบันการเงินเพื่อรีไฟแนนซ์เงินกู้ดังกล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 55 คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้ดำเนินการจัดสรรหุ้นสามัญจดทะเบียนที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายของบริษัทฯ ไม่เกิน 23.6 ล้านหุ้น โดยวีธีเสนอขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง โดยหุ้นดังกล่าวคิดเป็น 2.9% ของหุ้นทั้งหมด
และการเสนอขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง จะทาให้บริษัทฯ สามารถดำเนินกลยุทธ์ในการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และเร่งการขยายสาขาขนาดเล็กตามที่ได้เคยประกาศไว้เมื่อเดือนตุลาคม 54 การเสนอขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงครั้งนี้จะถูกเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีวันที่ 30 เมษายน 55 และคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 55