“เกียรตินาคิน” พอใจสินเชื่อรวมไตรมาสแรกเติบโตต่อเนื่องที่ 7% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปีที่ 21% ด้านกำไรอยู่ที่ 577 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 7.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง พร้อมเตรียมเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติแผนการร่วมกิจการกับทุนภัทรในวันที่ 26 เมษายน นี้
นายชวลิต จินดาวณิค ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) (KK) เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในไตรมาสแรกของปี 2555 ธนาคารและบริษัทย่อยมีการขยายตัวของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง สินเชื่อเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 7% ส่งผลให้ยอดสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นเป็น 145,311 ล้านบาท ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการขยายตัวของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ทั้งรถใหม่ และรถมือสอง โดยมีปัจจัยหนุนมาจากยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยเมื่อปลายปี และมาตรการรถคันแรกของรัฐบาล โดยในปี 2555 นี้ ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อเติบโตทั้งปีที่ 21% ซึ่งคาดว่าผลการดำเนินงานจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ด้านสินเชื่อรวมของธนาคาร จากการที่ธนาคารได้ปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ โดยแบ่งธุรกิจสินเชื่อออกเป็น สินเชื่อรายย่อย สินเชื่อธุรกิจ และสินเชื่อสายบริหารหนี้ โดยมียอดการให้สินเชื่อ ได้แก่ สินเชื่อธนาคารรายย่อย (เช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อบุคคล Micro SMEs และสินเชื่อเคเหะ) มียอดรวมอยู่ที่ 110,850 ล้านบาท หรือคิดเป็น 76.3% ของสินเชื่อรวม ส่วนสินเชื่อธุรกิจ (ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจ SMEs) มียอดรวมที่ 32,348 ล้านบาท คิดเป็น 22.3% ของสินเชื่อรวม ที่เหลือคือ สินเชื่อสายบริหารหนี้ อยู่ที่ 1,537ล้านบาท
สำหรับเงินฝาก หุ้นกู้ ตั๋วบีอี และอื่นๆ มีจำนวน 177,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.9% จากสิ้นปี 2554 แบ่งเป็นเงินฝาก 77,875 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 44% ตั๋วแลกเงิน 64,482 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 36% หุ้นกู้ 21,800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 12% และอื่นๆ 13,057 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7%
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 นี้ ธนาคาร และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิรวม 577 ล้านบาท ลดลง 7.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 10% ในส่วนของสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 201,957 ล้านบาท มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเท่ากับ 15.10% โดยเป็นเงินกองทุนในชั้นที่ 1 ถึง 14.40% ในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) เฉพาะธนาคารอยู่ที่ 3.5% ของสินเชื่อรวม ซึ่งเท่ากับสิ้นปี 2554 ที่ 3.5% เช่นกัน
สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินงานเพื่อร่วมกิจการ และร่วมบริหารงานกับบริษัททุนภัทร จำกัด (มหาชน) ภายหลังจากที่คณะกรรมการธนาคารและทุนภัทรมีมติเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2554 เห็นชอบให้เข้าลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการร่วมกิจการ และต่อมาเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555 คณะกรรมการธนาคารมีมติเห็นชอบให้ธนาคารเข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นระหว่างกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคารและทุนภัทร เพื่อซื้อหุ้นทั้งหมดของทุนภัทรจากกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยการดำเนินงานขั้นต่อไปคือ การขออนุมัติการร่วมกิจการจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2555 ของธนาคารในวันที่ 26 เมษายน 2555 ซึ่งหากมีความคืบหน้าอย่างไรจะแจ้งให้ทราบต่อไป