กรุงศรีกรุ๊ปแจ้งผลประกอบการไตรมาสแรกกำไร 3.44 พันล้าน เติบโต 22% ระบุจากสินเชื่อปล่อยใหม่เพิ่มขึ้นถึง 15% รวมถึงพอร์ตรายย่อยที่เติบโต 7% หลังซื้อพอร์ตจากเอชเอสบีซี
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (กรุงศรีกรุ๊ป) แจ้งผลประกอบการของธนาคาร และบริษัทในเครือในไตรมาสแรกปี 2555 มีกำไรสุทธิสูงถึง 3.44 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 600% จากไตรมาส 4 ของปี 2554 หรือ 22% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยสินเชื่อที่มีคุณภาพยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่งที่ 3.5% มีสินเชื่อที่ปล่อยใหม่ตั้งแต่สิ้นเดือนธันวาคม 2554 มีมูลค่า 23.9 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน สินเชื่อด้อยคุณภาพได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 4.9% จาก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 และมีสัดส่วนต่ำกว่า 3.6% ของสินเชื่อทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และการแก้ปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิยังคงแข็งแกร่งที่ระดับ 4.24% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของกรุงศรีกรุ๊ปในการรักษาอัตราผลตอบแทนของสินเชื่อในระดับที่น่าพอใจ ทั้งที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ลดลงในเดือนมกราคม อีกทั้งภาวะการแข่งขันอย่างรุนแรงของอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินฝาก
นายมาร์ค อาร์โนลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กรุงศรีกรุ๊ป กล่าวว่า ภายใต้กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ “กรุงศรี เรื่องเงิน เรื่องง่าย” ซึ่งมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เข้าถึงได้ง่ายและสะดวก ผลประกอบการของกรุงศรีกรุ๊ปในไตรมาสแรกของปี 2555 ได้แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนผลกำไรได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าพอใจ รวมถึงผลประกอบการอื่นๆ ที่สำคัญ โดยสินเชื่อที่มีคุณภาพเติบโต 3.5% ในไตรมาสแรก หรือเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา
“ที่สำคัญ สินเชื่อรายย่อยของธนาคาร และบริษัทในเครือได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 7% ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เป็นผลมาจากความสำเร็จในการรวมกิจการของธุรกิจสินเชื่อรายย่อยของธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย โดยปัจจุบัน ธุรกิจรายย่อยมีสัดส่วนคิดเป็น 47% ของพอร์ตสินเชื่อของกรุงศรีกรุ๊ป ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการสร้างความสมดุลระหว่างพอร์ตสินเชื่อประเภทต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม” นายอาร์โนลด์ กล่าว
สำหรับปี 2555 นี้จะเป็นปีที่ดีของกรุงศรีกรุ๊ปจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งโดยได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายตัวของสินเชื่อและรายได้หลัก ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ความต้องการสินเชื่อเพื่อการก่อสร้างและฟื้นฟู และความต้องการรถยนต์และสินค้าคงทนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งความต้องการเหล่านี้เริ่มเห็นได้อย่างชัดตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้