ก.ล.ต.เดินหน้าเปิดเสรีใบไลเซนส์-ค่าคอมมิชชัน ชี้ภาพรวมอุตสาหกรรมโบรกเกอร์ กำไรเฉลี่ยปีละ 6-7 พันล้าน ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงถึง 10% มากกว่าโบรกเกอร์ในต่างประเทศ ถามสังคมควรจะประกันราคาให้อุตสาหกรรมหรือไม่ ชี้ไม่เป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมในระยะกลาง-ยาว ล่าสุด เตรียมเสนอ รมว.คลังในการประชุมบอร์ดพัฒนาตลาดทุน 10 เม.ย.นี้
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ยังยืนยันจะเดินหน้าเปิดเสรีใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ใบไลเซนส์) และค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชัน) เพราะการผูกขาดไม่ได้เป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมในระยะกลางและยาว แต่จะทำให้บริษัทไม่ปรับตัว ซึ่งการที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมให้ยั่งยืน ควรที่จะมีการพัฒนาในเรื่องคุณภาพในการให้บริการ สามารถรองรับการแข่งขันเมื่อเปิดเสรีอาเซียน โดยเรื่องนี้ ก.ล.ต.ได้หารือกับทางสมาคมโบรกเกอร์มานานแล้ว และ บล.หลายแห่งมีการปรับตัวรองรับเรื่องดังกล่าวมาแล้ว และในวันที่ 10 เมษายนนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในการประชุม เชื่อว่า รมว.คลัง จะเข้าใจเหตุผลของการเดินหน้าในการเปิดเสรีใบไลเซนส์ และค่าคอมมิชชัน ของก.ล.ต.
“เรื่องการเปิดเสรีใบไลเซนส์ และค่าคอมมิชชันนั้น ก.ล.ต.ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว และได้มีการหารือกับสมาคม บล. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และก็อยู่ในแผนพัฒนาตลาดทุนมานานแล้ว และ บล.มีการเตรียมตัวมานานแล้ว และ ก.ล.ต.ยืนยันว่าเราไม่สนับสนุนการผูกขาด เพราะจะไม่ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมในระยะกลาง และยาว ซึ่งการพัฒนายั่งยืนนั้นต้องพัฒนาในเรื่องคุณภาพบริการ เพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ซึ่งปัจจุบันเข้ามารุกธุรกิจในไทยแล้ว และก.ล.ต.พร้อมให้ความสนับสนุน บล.หากมีข้อติดขัดอยากให้ ก.ล.ต.ช่วยในเรื่องอื่นแทน”
อย่างไรก็ตาม สมาคมบริษัทหลักทรัพย์มีความกังวลเรื่องจะมีรายใหม่เข้ามาแข่งขันเรื่องราคาทำให้ไม่เน้นในเรื่องคุณภาพ ดังนั้น ก.ล.ต.จึงจะออกเกณฑ์ในเรื่องของคุณภาพในการให้บริการของบริษัทหลักทรัพย์ทั้งรายใหม่ และรายเดิมที่ประกอบธุรกิจ จะต้องมีการจัดทำบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานตามสัดส่วนของส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์ ) คือ บล.ที่มีมาร์เกตแชร์ต่ำกว่า 0.5% ต้องทำบทวิเคราะห์ไม่ต่ำกว่า 15 หุ้น บล.ที่มีมาร์เกตแชร์สูงกว่า 0.5%-3% ต้องทำบทวิเคราะห์อย่างน้อย 30 หุ้น เป็นต้น
โดยการวิเคราะห์กำหนดว่า จะต้องทำบทวิเคราะในหุ้นที่อยู่นอก SET 100 อย่างน้อย 25% และจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่สมาคมนักวิเคราะห์กำหนด ซึ่งกำหนดให้ บล.ต้องมีการนำบทวิเคราะห์ให้แก่เจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) หรือหากผู้มีหน้าที่แนะนำการลงทุนเป็นประจำทุกวันก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเปิดซื้อขาย เพื่อที่มาร์เกตติ้งนั้นจะนำข้อมูลในบทวิเคราะห์ไปแนะนำแก่นักลงทุน เป็นการยกระดับคุณภาพการให้บริการ และมาร์เกตติ้งด้วย ข้อกำหนดทั้งหมด ก.ล.ต.จะออกในนามประกาศของคณะกรรมการกำกับตลาดทุน โดยจะเสนอให้ทางคณะกรรมการกำกับตลาดทุน มีการพิจารณาเรื่องนี้ ในการประชุมวันที่ 17 เมษายนนี้
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ยังยืนยันจะเดินหน้าเปิดเสรีใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ใบไลเซนส์) และค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชัน) เพราะการผูกขาดไม่ได้เป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมในระยะกลางและยาว แต่จะทำให้บริษัทไม่ปรับตัว ซึ่งการที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมให้ยั่งยืน ควรที่จะมีการพัฒนาในเรื่องคุณภาพในการให้บริการ สามารถรองรับการแข่งขันเมื่อเปิดเสรีอาเซียน โดยเรื่องนี้ ก.ล.ต.ได้หารือกับทางสมาคมโบรกเกอร์มานานแล้ว และ บล.หลายแห่งมีการปรับตัวรองรับเรื่องดังกล่าวมาแล้ว และในวันที่ 10 เมษายนนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในการประชุม เชื่อว่า รมว.คลัง จะเข้าใจเหตุผลของการเดินหน้าในการเปิดเสรีใบไลเซนส์ และค่าคอมมิชชัน ของก.ล.ต.
“เรื่องการเปิดเสรีใบไลเซนส์ และค่าคอมมิชชันนั้น ก.ล.ต.ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว และได้มีการหารือกับสมาคม บล. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และก็อยู่ในแผนพัฒนาตลาดทุนมานานแล้ว และ บล.มีการเตรียมตัวมานานแล้ว และ ก.ล.ต.ยืนยันว่าเราไม่สนับสนุนการผูกขาด เพราะจะไม่ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมในระยะกลาง และยาว ซึ่งการพัฒนายั่งยืนนั้นต้องพัฒนาในเรื่องคุณภาพบริการ เพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ซึ่งปัจจุบันเข้ามารุกธุรกิจในไทยแล้ว และก.ล.ต.พร้อมให้ความสนับสนุน บล.หากมีข้อติดขัดอยากให้ ก.ล.ต.ช่วยในเรื่องอื่นแทน”
อย่างไรก็ตาม สมาคมบริษัทหลักทรัพย์มีความกังวลเรื่องจะมีรายใหม่เข้ามาแข่งขันเรื่องราคาทำให้ไม่เน้นในเรื่องคุณภาพ ดังนั้น ก.ล.ต.จึงจะออกเกณฑ์ในเรื่องของคุณภาพในการให้บริการของบริษัทหลักทรัพย์ทั้งรายใหม่ และรายเดิมที่ประกอบธุรกิจ จะต้องมีการจัดทำบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานตามสัดส่วนของส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์ ) คือ บล.ที่มีมาร์เกตแชร์ต่ำกว่า 0.5% ต้องทำบทวิเคราะห์ไม่ต่ำกว่า 15 หุ้น บล.ที่มีมาร์เกตแชร์สูงกว่า 0.5%-3% ต้องทำบทวิเคราะห์อย่างน้อย 30 หุ้น เป็นต้น
โดยการวิเคราะห์กำหนดว่า จะต้องทำบทวิเคราะในหุ้นที่อยู่นอก SET 100 อย่างน้อย 25% และจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่สมาคมนักวิเคราะห์กำหนด ซึ่งกำหนดให้ บล.ต้องมีการนำบทวิเคราะห์ให้แก่เจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) หรือหากผู้มีหน้าที่แนะนำการลงทุนเป็นประจำทุกวันก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเปิดซื้อขาย เพื่อที่มาร์เกตติ้งนั้นจะนำข้อมูลในบทวิเคราะห์ไปแนะนำแก่นักลงทุน เป็นการยกระดับคุณภาพการให้บริการ และมาร์เกตติ้งด้วย ข้อกำหนดทั้งหมด ก.ล.ต.จะออกในนามประกาศของคณะกรรมการกำกับตลาดทุน โดยจะเสนอให้ทางคณะกรรมการกำกับตลาดทุน มีการพิจารณาเรื่องนี้ ในการประชุมวันที่ 17 เมษายนนี้