หุ้นไทยดีด 11 จุดรับข่าวดี ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศ หนุนแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานและแบงก์ขึ้นนำตลาด ภาพรวมตั้งแต่ต้นปีต่างชาติซื้อสุทธิแล้ว 8.5 หมื่นล้าน ประเมินวันนี้ (4 เม.ย.) แกว่งตัวในกรอบแคบ หลังวานนี้ขึ้นแรง “บล.ไทยพาณิชย์” เชื่อครึ่งปีหลังมีโอกาสเห็น 1,300 จุด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (3 เม.ย.) ดัชนีปรับตัวในแดนบวกตั้งแต่การซื้อขายในช่วงเช้า และต่อเนื่องมาจนถึงช่วงบ่าย โดยปิดที่ระดับ 1,211.07 จุด เพิ่มขึ้น 11.98 จุด หรือ 1.00% มูลค่าการซื้อขาย 30,378.70 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,213.57 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,204.49 จุด ภาพรวมดัชนีปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากได้รับข่าวจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และยุโรปที่ออกมาดี จึงทำให้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีก 2,550.17 ล้านบาท รวมตั้งแต่ 1มกราคมจนถึงปัจจุบันมีการซื้อสุทธิสะสมแล้ว 85,405.77 ล้านบาท
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นแรงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค โดยเฉพาะหุ้นบิ๊กแคปขนาดใหญ่ทั้งกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์เพราะได้รับปัจจัยบวกจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และยุโรปที่ออกมาดี อย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อขายเริ่มลดลง เนื่องจากเข้าใกล้ช่วงวันหยุดยาวทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อน้อยลง โดยหันไป short ในตลาดฟิวเจอร์สมากขึ้น
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (4เม.ย.) ดัชนีน่าจะเทรดในกรอบที่แคบลง หลังวานนี้ (3 เม.ย.) ปรับตัวขึ้นแรง ทั้งนี้ต้องรอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ และยุโรปในคืนนี้ พร้อมให้แนวรับ 1,202 และ 1,205 จุด แนวต้าน 1,220 จุด
นายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS ได้กล่าวถึงภาวะตลาดหุ้นว่า ภายในครึ่งปีแรกดัชนีสามารถยืนอยู่ที่ระดับ 1,100 จุด และภายในสิ้นปีดัชนีจะสามารถทะลุ 1,300 จุดได้ โดยปัจจัยเสี่ยงมาจากสถานการณ์ภายนอกประเทศ โดยเฉพาะปัจจัยด้านราคาน้ำมันที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น หากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นถึงระดับ 150-200 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ปัจจัยอื่นทั้งสถานการณ์ในสหรัฐฯ และปัญหาหนี้ในยุโรปยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นต่อเนื่อง
ด้านปัจจัยภายในเรื่องปัญหาน้ำท่วมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ ส่วนปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองไม่มีผลต่อความมั่นใจของนักลงทุน เนื่องจากนักลงทุนได้รับรู้และเข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองไทยเป็นอย่างดี
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (3 เม.ย.) ดัชนีปรับตัวในแดนบวกตั้งแต่การซื้อขายในช่วงเช้า และต่อเนื่องมาจนถึงช่วงบ่าย โดยปิดที่ระดับ 1,211.07 จุด เพิ่มขึ้น 11.98 จุด หรือ 1.00% มูลค่าการซื้อขาย 30,378.70 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,213.57 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,204.49 จุด ภาพรวมดัชนีปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากได้รับข่าวจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และยุโรปที่ออกมาดี จึงทำให้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีก 2,550.17 ล้านบาท รวมตั้งแต่ 1มกราคมจนถึงปัจจุบันมีการซื้อสุทธิสะสมแล้ว 85,405.77 ล้านบาท
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นแรงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค โดยเฉพาะหุ้นบิ๊กแคปขนาดใหญ่ทั้งกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์เพราะได้รับปัจจัยบวกจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และยุโรปที่ออกมาดี อย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อขายเริ่มลดลง เนื่องจากเข้าใกล้ช่วงวันหยุดยาวทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อน้อยลง โดยหันไป short ในตลาดฟิวเจอร์สมากขึ้น
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (4เม.ย.) ดัชนีน่าจะเทรดในกรอบที่แคบลง หลังวานนี้ (3 เม.ย.) ปรับตัวขึ้นแรง ทั้งนี้ต้องรอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ และยุโรปในคืนนี้ พร้อมให้แนวรับ 1,202 และ 1,205 จุด แนวต้าน 1,220 จุด
นายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS ได้กล่าวถึงภาวะตลาดหุ้นว่า ภายในครึ่งปีแรกดัชนีสามารถยืนอยู่ที่ระดับ 1,100 จุด และภายในสิ้นปีดัชนีจะสามารถทะลุ 1,300 จุดได้ โดยปัจจัยเสี่ยงมาจากสถานการณ์ภายนอกประเทศ โดยเฉพาะปัจจัยด้านราคาน้ำมันที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น หากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นถึงระดับ 150-200 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ปัจจัยอื่นทั้งสถานการณ์ในสหรัฐฯ และปัญหาหนี้ในยุโรปยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นต่อเนื่อง
ด้านปัจจัยภายในเรื่องปัญหาน้ำท่วมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ ส่วนปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองไม่มีผลต่อความมั่นใจของนักลงทุน เนื่องจากนักลงทุนได้รับรู้และเข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองไทยเป็นอย่างดี