แพรนด้า จิวเวลรี่ เล็งปรับเป้ารายได้ปีนี้เพิ่ม จากเดิมคาดโต 5% จากปี 54 ที่มีรายได้ 4.12 พันล้านบาท เหตุยอดขาย 2 เดือนแรกพุ่ง พร้อมขยายตลาดเอเซีย –หาฐานลูกค้กลุ่มใหม่ในยุโรป และยังมีกำไรค่าเงินแม้บาทแกว่ง ส่วนค่าแรง 300 บาทกระทบไม่มากเพราะประโยชน์ภาษีหนุน
นางสุนันทา เตียสุวรรณ์ ประธานกรรมการการเงิน บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน)หรือ PRANDA เปิดเผยว่า บริษัทอาจจะมีการปรับเพิ่มการเติบโตรายได้ปีนี้ จากที่ตั้งเป้าโต 5% จากปี 54 ที่มีรายได้รวม 4,122 ล้านบาท เนื่องจาก เศรษฐกิจสหรัฐปรับตัวเพิ่มทำให้ยอดขายจำหน่ายสินค้าดีขึ้น และบริษัทมีการขยายตลาดในแถบเอเซียมากขึ้นที่อินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนามและจีน ซึ่งคาดว่าปีนี้ยอดขายในแถบเอเซียจะมีการเติบโตกว่า 20% ซึ่งช่วง 2 เดือนที่ผ่านมายอดขายปรับตัวดีขึ้น แต่ทางด้านยุโรปเศรษฐกิจทรงๆนั้นบริษัทพยายามที่จะหากลุ่มลูกค้าใหม่ และพยามรักษาฐานลูกค้าเดิม
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ แต่ไม่มากเหมือนกับปีก่อนที่มีกำไรอัตราแลกเปลี่ยน 32 ล้านบาท เพราะมั่นใจว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายค่าเงินบาทให้อยู่ที่ระดับประมาณ 30 บาท โดยบริษัทได้ทำการป้องกันความเสี่ยงทางการเงินอยู่ที่ระดับ 30-31 บาท ส่วนเรื่องราคาวัตถุดิบ ทองเงิน นั้น บริษัทสามารถปรับราคาได้ทันที โดยคาดว่าปีนี้ราคาทองคำน่าจะแกว่งตัวที่ระดับ 1,600-1,800 เหรียญสหรัฐต่ออนซ์
สำหรับปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนจำนวน 430 ล้านบาท แบ่งเป็น ลงทุนด้านการตลาดเป็นจำนวน 150 ล้านบาท ในประเทศอินโดนีเซีย อินเดีย และจีน ลงทุนสร้างอาคารแห่งใหม่ 200 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต โดยจะเริ่มสร้างในเดือนพฤษภาคมนี้ และจะเสร็จประมาณปลายปี 56 และลงทุนซื้อเครื่องจักรขยายโรงงานเดิมอีก 80 ล้านบาท โดยแหล่งเงินลงทุนจะมากจากู้สถาบันการเงิน 200ล้านบาท และอีก 230 ล้านบาทมาจากกระแสเงินสดของบริษัท
" ปีนี้บริษัทจะเน้นขยายตลาดในแถบเอเซีย จากที่ตลาดมีการเติบโตดี และอนาคตจะมีการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน ซึ่งจะดีต่อการค้าขายระหว่างประเทศดังกล่าว ซึ่งจะทำให้ยอดขายมากขึ้นรวมถึงบริษัทจะเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทขึ้นเป็น 50% จากปัจจุบันที่มีอยู่ 30% เพราะมีมาร์จิ้นที่สูงกว่าการรับจ้างผลิต และบมีแผนที่จะปรับเพิ่มเป้ารายได้ปีนี้เพิ่ม จากยอดขาย 2 เดือนแรกออกมาดี โดยเป้ารายได้ 5% นั้นบริษัทประมาณเมื่อตั้งแต่เดือนตุลาคมปี54 " นางสุนันทา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ค่าแรง 300 บาทที่จะปรับขึ้นนั้น มีผลกระทบกับบริษัทบ้าง ทำให้มีต้นทุนเพิ่ม แต่ผลจากการที่บริษัทได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีนิติบุคคลที่เหลือ 23% นั้น ก็สามารถมาชดเชยกับต้นทุนทางด้านค่าแรงที่เพิ่มขึ้นมาได้
นางสุนันทา เตียสุวรรณ์ ประธานกรรมการการเงิน บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน)หรือ PRANDA เปิดเผยว่า บริษัทอาจจะมีการปรับเพิ่มการเติบโตรายได้ปีนี้ จากที่ตั้งเป้าโต 5% จากปี 54 ที่มีรายได้รวม 4,122 ล้านบาท เนื่องจาก เศรษฐกิจสหรัฐปรับตัวเพิ่มทำให้ยอดขายจำหน่ายสินค้าดีขึ้น และบริษัทมีการขยายตลาดในแถบเอเซียมากขึ้นที่อินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนามและจีน ซึ่งคาดว่าปีนี้ยอดขายในแถบเอเซียจะมีการเติบโตกว่า 20% ซึ่งช่วง 2 เดือนที่ผ่านมายอดขายปรับตัวดีขึ้น แต่ทางด้านยุโรปเศรษฐกิจทรงๆนั้นบริษัทพยายามที่จะหากลุ่มลูกค้าใหม่ และพยามรักษาฐานลูกค้าเดิม
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ แต่ไม่มากเหมือนกับปีก่อนที่มีกำไรอัตราแลกเปลี่ยน 32 ล้านบาท เพราะมั่นใจว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายค่าเงินบาทให้อยู่ที่ระดับประมาณ 30 บาท โดยบริษัทได้ทำการป้องกันความเสี่ยงทางการเงินอยู่ที่ระดับ 30-31 บาท ส่วนเรื่องราคาวัตถุดิบ ทองเงิน นั้น บริษัทสามารถปรับราคาได้ทันที โดยคาดว่าปีนี้ราคาทองคำน่าจะแกว่งตัวที่ระดับ 1,600-1,800 เหรียญสหรัฐต่ออนซ์
สำหรับปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนจำนวน 430 ล้านบาท แบ่งเป็น ลงทุนด้านการตลาดเป็นจำนวน 150 ล้านบาท ในประเทศอินโดนีเซีย อินเดีย และจีน ลงทุนสร้างอาคารแห่งใหม่ 200 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต โดยจะเริ่มสร้างในเดือนพฤษภาคมนี้ และจะเสร็จประมาณปลายปี 56 และลงทุนซื้อเครื่องจักรขยายโรงงานเดิมอีก 80 ล้านบาท โดยแหล่งเงินลงทุนจะมากจากู้สถาบันการเงิน 200ล้านบาท และอีก 230 ล้านบาทมาจากกระแสเงินสดของบริษัท
" ปีนี้บริษัทจะเน้นขยายตลาดในแถบเอเซีย จากที่ตลาดมีการเติบโตดี และอนาคตจะมีการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน ซึ่งจะดีต่อการค้าขายระหว่างประเทศดังกล่าว ซึ่งจะทำให้ยอดขายมากขึ้นรวมถึงบริษัทจะเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทขึ้นเป็น 50% จากปัจจุบันที่มีอยู่ 30% เพราะมีมาร์จิ้นที่สูงกว่าการรับจ้างผลิต และบมีแผนที่จะปรับเพิ่มเป้ารายได้ปีนี้เพิ่ม จากยอดขาย 2 เดือนแรกออกมาดี โดยเป้ารายได้ 5% นั้นบริษัทประมาณเมื่อตั้งแต่เดือนตุลาคมปี54 " นางสุนันทา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ค่าแรง 300 บาทที่จะปรับขึ้นนั้น มีผลกระทบกับบริษัทบ้าง ทำให้มีต้นทุนเพิ่ม แต่ผลจากการที่บริษัทได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีนิติบุคคลที่เหลือ 23% นั้น ก็สามารถมาชดเชยกับต้นทุนทางด้านค่าแรงที่เพิ่มขึ้นมาได้