ASTVผู้จัดการรายวัน - ทุนต่างชาติหวั่นน้ำท่วมซ้ำ ทะยอยย้ายฐานการผลิตไปฝั่งตะวันออก ทีเอฟดีรับอานิสงส์นิคมฯ ฉะเชิงเทราเช่าเต็ม เตรียมขยายพื้นที่เพิ่ม 5 หมื่นตร.ม. ตั้งเป้าอีก 3 ปีพื้นที่โรงงานแตะ 3 แสนตร.ม. พร้อมเผยเลื่อนแผนเปิดคอนโดฯหรู ซ.มหาดเล็กหลวง 2 ไปปีหน้าหลังไม่ผ่าน EIAลุ้นยื่นรอบสอง ล่าสุดเปิดตัว 15 สุขุมวิทฯ ยอดขายแล้ว 50%
นายอภิชัย เตชะอุบล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม (ทีเอฟดี) ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี ในจ.ฉะเชิงเทรา เปิดเผยว่าบริษัทฯได้รับการตอบรับการเช่าพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมดีขึ้นจากกลุ่มโรงงานในประเทศญี่ปุ่นและจากยุโรป หลังจากที่โรงงานในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของประเทศ ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ ทำให้มีลูกค้าเริ่มทะยอยย้ายฐานการผลิต มายังนิคมอุตสาหกรรมในฝั่งตะวันออกของประเทศมากขึ้น เนื่องจากไม่มั่นใจว่าจะสามารถป้องกันปัญหาน้ำท่วมในอนาคตได้
ทั้งนี้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีลูกค้ากลุ่มโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เข้ามาทั้งเช่าพื้นที่และซื้อที่ดินในเขตอุตสาหกรรมทีเอฟดีเพิ่มขึ้น ทำให้โรงงาน 4 แห่ง พื้นที่รวมขนาด 6,400 ตร.ม. ถูกเช่าเต็มพื้นที่ ดังนั้นบริษัทจึงมีแผนขยายโรงงานเพิ่มอีก 50,000 ตร.ม. โดยใช้เงินลงทุน 700 ล้านบาท ภายในปีนี้ และตั้งเป้าหมายขยายเพิ่มให้ได้รวม 3 แสนตร.ม.ในอีก 3 ปีข้าง ซึ่งจะสร้างรายได้ให้แก่บริษัท 200 บาท/ตร.ม./เดือน
อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯวางเป้าหมายยอดขายรวม 2,000 ล้านบาทแบ่งเป็นยอดขายจากพื้นที่เช่าและขายในเขตนิคมอุตสาหกรรม 1,400 ล้านบาท ซึ่งสามารถรับรู้ได้ภายในปีนี้ ส่วนอีก 600 ล้านบาทจะเป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 2 แห่ง ได้แก่ โคโลเนียล หัวหิน และ 15 สุขุมวิท เรสซิเดนเซส ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีหน้า โดยในปีทีผ่านมาบริษัทฯมียอดขายรวม 1,200 ล้านบาท มาจากการขายพื้นที่และรายได้จากค่าเช่าในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี
สำหรับโครงการ 15 สุขุมวิท เรสซิเดนเซส ได้พัฒนาภายใต้บริษัท ลูกชื่อ บริษัท วีเอสเอสแอลเอ็นเตอร์ไพร์ส ซึ่งได้ซื้อโครงการดังกล่าวมาจากเจ้าของโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซึ่งเดิมเป็นอาคารร้างที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ในซ.สุขุมวิท 15 โดยซื้อมาในราคาตร.ว.ละ 3 แสนบาท เนื้อที่รวม 2 ไร่ 3 งาน 73 ตร.ว พัฒนาเป็นโครงการมูลค่า 3,200 ล้านบาท สูง 25 ชั้น จำนวน 514 ยูนิต คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จในปลายปีนี้ ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50% คาดว่าปลายปีนี้จะมียอดขาย 90%
เลื่อนแผนเปิดคอนโดฯหรู
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีแผนจะพัฒนา โครงการคอนโดมิเนียมหรู มหาดเล็กหลวง 2 ซึ่งเดิมจะเปิดตัวภายในปีนี้ บริษัทฯต้องเลื่อนการเปิดตัวออกไปเป็นปีหน้า เนื่องจากจะต้องส่งรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมรอบใหม่ (EIA) หลังจากไม่ผ่านการอนุมัติในเดือนที่ผ่านมา โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่บนเนื้อที่ 2 ไร่ ในซ.มหาดเล็กหลวง 2 ซึ่งเป็นพื้นที่เช่าจากสำนักงานพระคลังข้างที่ และมีการต่อต้านจากชุมชนในซอยดังกล่าว โดยชุมชนอ้างว่าโครงการจะสร้างผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้กับผู้พักอาศัยในบริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตามนายอภิชัยกล่าวว่าโครงการดังกล่าวไม่มีข้อติดขัดทางกฎหมาย และเตรียมจะเปิดขายในรูปแบบสัญญาเช่า 30 ปี ราคาขายเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 1 แสนกว่าบาทต่อตร.ม.
สุขุมวิทคอนโดฯค้างสต๊อก3.3พันยูนิต
ด้านนายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากข้อมูลจากฝ่ายวิจัยและประเมินมูลค่าทรัพย์สินฯ ของบริษัทพบว่า จำนวนคอนโดมิเนียมในบริเวณสุขุมวิทจนถึงปลายปี 2554 มีทั้งหมด 18,537 ยูนิต ซึ่งจำนวนซัพพลายทั้งหมดสะสมมาจากปี 2546 โดยในระหว่างปี 2554 มีจำนวนซัพพลายใหม่เข้าสู่ตลาดทั้งสิ้น 2,060 ยูนิต เพิ่มขึ้น 13% จากซัพพลายช่วงต้นปี ในขณะที่ดีมานด์ค่อนข้างสูงอยู่ที่ 82.1% เพิ่มขึ้นจาก 72% ในช่วงครึ่งปีแรก
ทั้งนี้บริเวณดังกล่าวมีมีจำนวนยูนิตเหลือขาย 3,396 ยูนิต หรือประมาณ 70% ของยูนิตเหลือขายมาจากโครงการที่เปิดตัวก่อนปี 2554 และส่วนมากเป็นโครงการที่มียูนิตค่อนข้างใหญ่มากกว่าสองห้องนอน เนื่องจากห้องขนาดดังกล่าวใหญ่เกินไป อีกทั้งยังมีราคาสูงทำให้อัตราการขายช้า ประกอบกับโครงการเปิดใหม่มีขนาดเหมาะสมกับความต้องการในปัจจุบันมากกว่าทำให้ถูกดูดซับจากตลาดมากกว่า
อย่างไรก็ตามการขาดแคลนที่ดินในการสร้างตึกสูงในสุขุมวิทเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาที่นั้นสูงขึ้น หากที่ดินนั้นอยู่ในซอยโดยมีถนนหน้ากว้างมากกว่า 10 เมตรที่ดินนั้นจะมีราคาสูงกว่า 700,000 บาทต่อตรว. ในขณะที่ที่ดินที่อยู่บนถนนสุขุมวิทบริเวณก่อนแยกอโศกจะมีราคาสูงกว่า 1.2 ล้านบาทต่อตร.ม. ส่วนราคาขายหากเป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์จะมีราคาสูงกว่า 150,000 บาทต่อตร.ม. และแบบโลว์ไรซ์ สูงกว่า 90,000 บาทต่อตร.ม.
นายอภิชัย เตชะอุบล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม (ทีเอฟดี) ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี ในจ.ฉะเชิงเทรา เปิดเผยว่าบริษัทฯได้รับการตอบรับการเช่าพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมดีขึ้นจากกลุ่มโรงงานในประเทศญี่ปุ่นและจากยุโรป หลังจากที่โรงงานในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของประเทศ ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ ทำให้มีลูกค้าเริ่มทะยอยย้ายฐานการผลิต มายังนิคมอุตสาหกรรมในฝั่งตะวันออกของประเทศมากขึ้น เนื่องจากไม่มั่นใจว่าจะสามารถป้องกันปัญหาน้ำท่วมในอนาคตได้
ทั้งนี้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีลูกค้ากลุ่มโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เข้ามาทั้งเช่าพื้นที่และซื้อที่ดินในเขตอุตสาหกรรมทีเอฟดีเพิ่มขึ้น ทำให้โรงงาน 4 แห่ง พื้นที่รวมขนาด 6,400 ตร.ม. ถูกเช่าเต็มพื้นที่ ดังนั้นบริษัทจึงมีแผนขยายโรงงานเพิ่มอีก 50,000 ตร.ม. โดยใช้เงินลงทุน 700 ล้านบาท ภายในปีนี้ และตั้งเป้าหมายขยายเพิ่มให้ได้รวม 3 แสนตร.ม.ในอีก 3 ปีข้าง ซึ่งจะสร้างรายได้ให้แก่บริษัท 200 บาท/ตร.ม./เดือน
อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯวางเป้าหมายยอดขายรวม 2,000 ล้านบาทแบ่งเป็นยอดขายจากพื้นที่เช่าและขายในเขตนิคมอุตสาหกรรม 1,400 ล้านบาท ซึ่งสามารถรับรู้ได้ภายในปีนี้ ส่วนอีก 600 ล้านบาทจะเป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 2 แห่ง ได้แก่ โคโลเนียล หัวหิน และ 15 สุขุมวิท เรสซิเดนเซส ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีหน้า โดยในปีทีผ่านมาบริษัทฯมียอดขายรวม 1,200 ล้านบาท มาจากการขายพื้นที่และรายได้จากค่าเช่าในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี
สำหรับโครงการ 15 สุขุมวิท เรสซิเดนเซส ได้พัฒนาภายใต้บริษัท ลูกชื่อ บริษัท วีเอสเอสแอลเอ็นเตอร์ไพร์ส ซึ่งได้ซื้อโครงการดังกล่าวมาจากเจ้าของโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซึ่งเดิมเป็นอาคารร้างที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ในซ.สุขุมวิท 15 โดยซื้อมาในราคาตร.ว.ละ 3 แสนบาท เนื้อที่รวม 2 ไร่ 3 งาน 73 ตร.ว พัฒนาเป็นโครงการมูลค่า 3,200 ล้านบาท สูง 25 ชั้น จำนวน 514 ยูนิต คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จในปลายปีนี้ ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50% คาดว่าปลายปีนี้จะมียอดขาย 90%
เลื่อนแผนเปิดคอนโดฯหรู
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีแผนจะพัฒนา โครงการคอนโดมิเนียมหรู มหาดเล็กหลวง 2 ซึ่งเดิมจะเปิดตัวภายในปีนี้ บริษัทฯต้องเลื่อนการเปิดตัวออกไปเป็นปีหน้า เนื่องจากจะต้องส่งรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมรอบใหม่ (EIA) หลังจากไม่ผ่านการอนุมัติในเดือนที่ผ่านมา โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่บนเนื้อที่ 2 ไร่ ในซ.มหาดเล็กหลวง 2 ซึ่งเป็นพื้นที่เช่าจากสำนักงานพระคลังข้างที่ และมีการต่อต้านจากชุมชนในซอยดังกล่าว โดยชุมชนอ้างว่าโครงการจะสร้างผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้กับผู้พักอาศัยในบริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตามนายอภิชัยกล่าวว่าโครงการดังกล่าวไม่มีข้อติดขัดทางกฎหมาย และเตรียมจะเปิดขายในรูปแบบสัญญาเช่า 30 ปี ราคาขายเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 1 แสนกว่าบาทต่อตร.ม.
สุขุมวิทคอนโดฯค้างสต๊อก3.3พันยูนิต
ด้านนายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากข้อมูลจากฝ่ายวิจัยและประเมินมูลค่าทรัพย์สินฯ ของบริษัทพบว่า จำนวนคอนโดมิเนียมในบริเวณสุขุมวิทจนถึงปลายปี 2554 มีทั้งหมด 18,537 ยูนิต ซึ่งจำนวนซัพพลายทั้งหมดสะสมมาจากปี 2546 โดยในระหว่างปี 2554 มีจำนวนซัพพลายใหม่เข้าสู่ตลาดทั้งสิ้น 2,060 ยูนิต เพิ่มขึ้น 13% จากซัพพลายช่วงต้นปี ในขณะที่ดีมานด์ค่อนข้างสูงอยู่ที่ 82.1% เพิ่มขึ้นจาก 72% ในช่วงครึ่งปีแรก
ทั้งนี้บริเวณดังกล่าวมีมีจำนวนยูนิตเหลือขาย 3,396 ยูนิต หรือประมาณ 70% ของยูนิตเหลือขายมาจากโครงการที่เปิดตัวก่อนปี 2554 และส่วนมากเป็นโครงการที่มียูนิตค่อนข้างใหญ่มากกว่าสองห้องนอน เนื่องจากห้องขนาดดังกล่าวใหญ่เกินไป อีกทั้งยังมีราคาสูงทำให้อัตราการขายช้า ประกอบกับโครงการเปิดใหม่มีขนาดเหมาะสมกับความต้องการในปัจจุบันมากกว่าทำให้ถูกดูดซับจากตลาดมากกว่า
อย่างไรก็ตามการขาดแคลนที่ดินในการสร้างตึกสูงในสุขุมวิทเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาที่นั้นสูงขึ้น หากที่ดินนั้นอยู่ในซอยโดยมีถนนหน้ากว้างมากกว่า 10 เมตรที่ดินนั้นจะมีราคาสูงกว่า 700,000 บาทต่อตรว. ในขณะที่ที่ดินที่อยู่บนถนนสุขุมวิทบริเวณก่อนแยกอโศกจะมีราคาสูงกว่า 1.2 ล้านบาทต่อตร.ม. ส่วนราคาขายหากเป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์จะมีราคาสูงกว่า 150,000 บาทต่อตร.ม. และแบบโลว์ไรซ์ สูงกว่า 90,000 บาทต่อตร.ม.