ยอดขอซอฟต์โลนกระฉูด 3.66 แสนล้านบาท ประเดิมแล้ว 2.1 แสนล้าน เป็นเอสเอ็มอี 45% และบุคคลธรรมดา 55% บิ๊ก ธปท.คาดแบงก์พาณิชย์มีสภาพคล่องพอรองรับสินเชื่อ 1.56 แสนล้านบาท ที่เกินวงเงินที่เอสเอ็มอีและประชาชนแห่ของซอฟต์โลน 300,000 ล้านบาทได้
นางสุธาศินี นิมิตกุล ผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายและกำกับการแลกเปลี่ยนเงิน สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหาย จากอุทกภัยปี พ.ศ. 2554 ตามพ.ร.ก.พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ 2555 วงเงิน 300,000 ล้านบาท ในส่วน ธปท.มีวงเงินที่จะป่ล่อยให้สถาบันการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 0.01% ทั้งสิ้น 210,000 ล้านบาทนั้น ได้มีสถาบันการเงิน 21 แห่งยื่นขอรับจัดสรรวงเงิน รวม 366,399 ล้านบาท สินเชื่อของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและรายย่อย (เอสเอ็มอี) 165,247 ล้านบาท และ สินเชื่อสำหรับบุคคลธรรมดา 201,152ล้านบาท
ส่วนของธนาคารพาณิชย์ไทย 13 แห่ง ขอจัดสรรวงเงินมาทั้งสิ้น 270,509 ล้านบาท เป็นสินเชื่อของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและรายย่อย (เอสเอ็มอี) 153,971 ล้านบาท และ สินเชื่อสำหรับบุคคลธรรมดา 116,538 ล้านบาท สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ ได้ขอวงเงินมาทั้งสิ้น 3 แห่งเป็นสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีทั้งหมด 426 ล้านบาท ขณะที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 5 แห่ง ขอจัดสรรวงเงินรวมทั้งสิ้น 95,464 ล้านบาท เป็นสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอี 10,850 ล้านบาท และสินเชื่อสำหรับบุคคลธรรมดา 84,614 ล้านบาท ทำให้วงเงินที่สถาบันการเงินขอรับจัดสรรมากกว่าวงเงินในส่วนของ ธปท. อยู่ 156,399 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อกระจายให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยปี พ.ศ. 2554 ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและเหมาะสม ในรอบแรก ธปท. จึงพิจารณาจัดสรรสัดส่วนวงเงิน 210,000 ล้านบาท ให้สถาบันการเงินแยกเป็นเอ็มเอ็มอีในสัดส่วน45% ของวงเงินรวม และบุคคละรรมดาได้สินเชื่อในสัดส่วน 55 % ของวงเงินรวม
ธนาคารได้รับวงเงินจัดสรรสูงที่สุด 152,800 ล้านบาท คิดเป็น 72.76 % ของวงเงินจัดสรรสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ ได้รับ 240 ล้านบาท คิดเป็น 0.12 % ขณะที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้รับ 56,960 ล้านบาท คิดเป็น 27.12 % โดยสถาบัน การเงินสามารถเบิกเงินกู้ที่ ธปท. ได้ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 55 สำหรับรายที่ยังไม่ได้สินเชื่อตามจำนวนที่ขอจัดสรรนั้น ธปท. จะมีการทบทวนการจัดสรรวงเงินให้สถาบันการเงินแต่ละแห่งใหม่ ในกรณีที่บางสถาบันการเงินเบิกใช้วงเงินที่ได้รับจัดสรรไม่เต็มจำนวน หรือมีการชำระคืนเงินกู้ที่ขอไปให้ ธปท. โดยทบทวนเป็นรายไตรมาส โดยครั้งต่อไปจะพิจารณาภายในวันที่ 30 มิ.ย.นี้
นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ในขณะนี้สภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในระดับสูง และเอื้อต่อการปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารพาณิชย์ในระยะต่อไป โดย ธปท.ประเมินว่าในส่วนของสินเชื่อที่เกินกว่าโครงการสินเชื่อซอฟต์โลนนั้น เชื่อว่า สภาพคล่องที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่สามารถที่จะรองรับการให้สินเชื่อประชาชน และผู้ประกอบการเหล่านั้นได้
"อัตราดอกเบี้ยอาจจะสูงกว่าในโครงการ แต่อัตราดอกเบี้ยที่ประชาชน หรือภาคเอกชนจะได้รับจะสะท้อนความเสี่ยงของลูกหนี้รายนั้นๆ เป็นหลักการปกติ" นายเกริกกล่าว
นางสุธาศินี นิมิตกุล ผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายและกำกับการแลกเปลี่ยนเงิน สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหาย จากอุทกภัยปี พ.ศ. 2554 ตามพ.ร.ก.พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ 2555 วงเงิน 300,000 ล้านบาท ในส่วน ธปท.มีวงเงินที่จะป่ล่อยให้สถาบันการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 0.01% ทั้งสิ้น 210,000 ล้านบาทนั้น ได้มีสถาบันการเงิน 21 แห่งยื่นขอรับจัดสรรวงเงิน รวม 366,399 ล้านบาท สินเชื่อของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและรายย่อย (เอสเอ็มอี) 165,247 ล้านบาท และ สินเชื่อสำหรับบุคคลธรรมดา 201,152ล้านบาท
ส่วนของธนาคารพาณิชย์ไทย 13 แห่ง ขอจัดสรรวงเงินมาทั้งสิ้น 270,509 ล้านบาท เป็นสินเชื่อของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและรายย่อย (เอสเอ็มอี) 153,971 ล้านบาท และ สินเชื่อสำหรับบุคคลธรรมดา 116,538 ล้านบาท สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ ได้ขอวงเงินมาทั้งสิ้น 3 แห่งเป็นสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีทั้งหมด 426 ล้านบาท ขณะที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 5 แห่ง ขอจัดสรรวงเงินรวมทั้งสิ้น 95,464 ล้านบาท เป็นสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอี 10,850 ล้านบาท และสินเชื่อสำหรับบุคคลธรรมดา 84,614 ล้านบาท ทำให้วงเงินที่สถาบันการเงินขอรับจัดสรรมากกว่าวงเงินในส่วนของ ธปท. อยู่ 156,399 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อกระจายให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยปี พ.ศ. 2554 ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและเหมาะสม ในรอบแรก ธปท. จึงพิจารณาจัดสรรสัดส่วนวงเงิน 210,000 ล้านบาท ให้สถาบันการเงินแยกเป็นเอ็มเอ็มอีในสัดส่วน45% ของวงเงินรวม และบุคคละรรมดาได้สินเชื่อในสัดส่วน 55 % ของวงเงินรวม
ธนาคารได้รับวงเงินจัดสรรสูงที่สุด 152,800 ล้านบาท คิดเป็น 72.76 % ของวงเงินจัดสรรสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ ได้รับ 240 ล้านบาท คิดเป็น 0.12 % ขณะที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้รับ 56,960 ล้านบาท คิดเป็น 27.12 % โดยสถาบัน การเงินสามารถเบิกเงินกู้ที่ ธปท. ได้ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 55 สำหรับรายที่ยังไม่ได้สินเชื่อตามจำนวนที่ขอจัดสรรนั้น ธปท. จะมีการทบทวนการจัดสรรวงเงินให้สถาบันการเงินแต่ละแห่งใหม่ ในกรณีที่บางสถาบันการเงินเบิกใช้วงเงินที่ได้รับจัดสรรไม่เต็มจำนวน หรือมีการชำระคืนเงินกู้ที่ขอไปให้ ธปท. โดยทบทวนเป็นรายไตรมาส โดยครั้งต่อไปจะพิจารณาภายในวันที่ 30 มิ.ย.นี้
นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ในขณะนี้สภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในระดับสูง และเอื้อต่อการปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารพาณิชย์ในระยะต่อไป โดย ธปท.ประเมินว่าในส่วนของสินเชื่อที่เกินกว่าโครงการสินเชื่อซอฟต์โลนนั้น เชื่อว่า สภาพคล่องที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่สามารถที่จะรองรับการให้สินเชื่อประชาชน และผู้ประกอบการเหล่านั้นได้
"อัตราดอกเบี้ยอาจจะสูงกว่าในโครงการ แต่อัตราดอกเบี้ยที่ประชาชน หรือภาคเอกชนจะได้รับจะสะท้อนความเสี่ยงของลูกหนี้รายนั้นๆ เป็นหลักการปกติ" นายเกริกกล่าว
