ปตท. ปลื้มปี 54 โกยรายได้ 2.2 ล้านล้านบาท ฟันกำไรเละ 1.05 แสนล้านบาท สูงสุดในประวัติการณ์ เตรียมทุ่มงบลงทุน 7 แสนล้าน ขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานครบวงจร หวังติดอันดับ FORTUNE 100 ภายในปี 2563 มีผลประกอบการอยู่ในระดับชั้นนำ และติดอันดับดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ ภายในปี 2556
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2553 ความต้องการใช้พลังงานของประเทศอยู่ที่ 2,071 พันบาร์เรลต่อวัน โดย ปตท.มีการจัดหาได้ประมาณ 372 พันบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 18 คาดว่าในปี 2563 ความต้องการพลังงานของประเทศจะอยู่ที่ 2,841 พันบาร์เรลต่อวัน และ ปตท.จะจัดหาประมาณ 1,484 พันบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณร้อยละ 52 จะเห็นได้ว่า ปตท.มีหน้าที่หลักในการสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ
นอกจากนี้ ปตท. ยังมีหน้าที่สร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศชาติ โดยในปี 2554 ที่ผ่านมา ปตท.สามารถนำเงินส่งรัฐได้ประมาณ 63,000 ล้านบาท โดยนำส่งในรูปภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 39,000 ล้านบาท และในรูปเงินปันผลประมาณ 24,000 ล้านบาท
ในการประชุมกับคณะกรรมการบริษัท ได้เสนอต่อคณะกรรมการบริษัทว่าขอเสนอย้าย ปตท.จากการทำธุรกิจอยู่บนฐานของทรัพยากรธรรมชาติ มาเป็นการทำธุรกิจบนองค์ความรู้และเทคโนโลยี หรือ Technology Advanced Green ปัญหาของการทำธุรกิจจะต้องได้รับการอนุมัติจากชุมชนด้วย ซึ่งต้องแสดงให้เห็นว่ามีความห่วงใย แบ่งปันความรู้ให้ชุมชน และให้ความสำคัญกับคนในชุมชน
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กร กล่าวว่า ทิศทางกลยุทธ์ของกลุ่ม ปตท. ตั้งเป้าที่จะเป็นบริษัทพลังงานไทยข้ามชาติชั้นนำ ติดอันดับ Fortune 100 ภายในปี 2563 มีผลประกอบการอยู่ในระดับชั้นน้ำภายในปี 2563 และติดอันดับดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) ภายในปี 2556
ส่วนแผนการลงทุนปี 2555-2559 เงินลงทุนรวม 357,996 ล้านบาท ประกอบด้วยร้อยละ 45ลงทุนในการขยายธุรกิจถ่านหิน ปาล์มน้ำมัน FLNG และไฟฟ้า อีกร้อยละ 38 ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานธุรกิจก๊าซฯ ในโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 4 และส่วนขยายไปยังนครสวรรค์และนครราชสีมา สถานีรับจ่าย LNG และขยายสถานี NGV อีกร้อยละ 14 ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานธุรกิจน้ำมัน ประกอบด้วย คลังน้ำมัน/LPG โครงการขยายขีดความสามารถในการนำเข้าก๊าซหุงต้มและก๊าซแอลเอ็นจี และสถานีบริการน้ำมัน ส่วนที่เหลือร้อยละ 3 ลงทุนด้านการวิจัย พัฒนา และอื่นๆ
ส่วนการลงทุนของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. อีกประมาณ 360,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาแหล่งก๊าซฯ และน้ำมันทั้งในและต่างประเทศ โดยในปี 2555 ปตท.ได้จัดสรรเงินสำหรับลงทุนไว้ 91,467 ล้านบาท ปี 2556 ลงทุน 85,484 ล้านบาท ปี 2557 ลงทุน 81,513 ล้านบาท ปี 2558 ลงทุน 61,148 ล้านบาท และปี 2559 ลงทุน 38,384 ล้านบาท เมื่อรวมงบลงทุนในส่วนของ ปตท.สผ. แล้วงบลงทุน 5 ปี รวมเป็นประมาณ 720,000 ล้านบาท แต่ในส่วนนี้ยังไม่รวมเงินลงทุนของกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี คือ บริษัท ปตท.โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน กล่าวว่า ในปี 2554 ปตท. มีกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 47,246 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 2,197,555 ล้านบาท หากรวมผลการดำเนินงานจากบริษัทในกลุ่มตามสัดส่วนการลงทุนที่มีกำไรสุทธิอีก 58,050 ล้านบาทแล้ว กลุ่ม ปตท.มีกำไรสุทธิรวม 105,296 ล้านบาท จากรายได้จาการขายและบริการรวม 2,428,165 ล้านบาท มีรายได้ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจ่าย หรือ EBITDA 210,748 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2554 ของ ปตท. แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์มหาอุทกภัยช่วงไตรมาสที่ 4/2554 และส่งผลกระทบอย่างมาก แต่เนื่องจาก ปตท.มีแผนการดำเนินงานเชิงรุกเพื่อรองรับทุกสถานการณ์ ได้แก่ แผนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง, การจัดการสภาวะวิกฤติ, การกู้คืนระบบสารสนเทศ, การจัดเตรียมทรัพยากรบุคลากร, การจัดเตรียมสถานที่ปฏิบัติงานสำรอง, และการกู้คืนอาคารและสถานที่ทำให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและการให้บริการ อีกทั้งสามารถใช้ศักยภาพที่มีเข้าช่วยฟื้นฟูและบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติในครั้งนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยปีนี้ถือว่า ปตท.ได้ทำกำไรสูงเป็นประวัติการณ์ นอกจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากยอดขายแล้ว ยังมีในส่วนของกำไรจากการเก็บสตอกน้ำมันรวมทุกบริษัทในเครือกว่า 10,000 ล้านบาท ส่วนปีนี้จะต้องทำงานหนักมากขึ้น เพราะคาดว่าจะไม่มีกำไรจากสตอกน้ำมัน และมีปัญหาความผันผวนของราคาพลังงานสูง