ASTVผู้จัดการรายวัน - สรรพสามิต เตรียมชง ครม.ปรับเพิ่มภาษีน้ำมันกลับมาที่ลิตรละ 5 บาท แต่จะทยอยขึ้นครั้งละ 1 บาท ตามราคาน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มลดลง คาด ครบ 5 บาท ภายในปีงบ 55 ยอมรับหากปรับพรวดเดียวตลาดอาจช็อกได้ วางเงื่อนไขหากรัฐบาลไม่ยอม จะขอปรับลดเป้าหมายจัดเก็บรายได้ปี 55 ลง 4 หมื่นล้าน
นางเบญจา หลุยเจริญ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์นี้จะหารือกับ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เพื่อหารือถึงการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตในกลุ้มผลิตภัณฑ์น้ำมัน ทั้งน้ำมันดีเซล และเบนซิน โดยจะเสนอเป็นแพกเกจให้ นายกิตติรัตน์พิจารณาก่อนจะเสนอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ทั้งนี้ ในส่วนของภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลนั้น ขณะนี้ปรับลดลงเหลือ 0.005 บาท/ลิตร จากที่เก็บอยู่ 5.31 บาทต่อลิตร และมีกำหนดถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์นี้ โดยการลดภาษีดีเซลดำเนินการมาตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อน ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน 2554 และได้รับการต่ออายุมาหลายครั้ง ซึ่งทำให้กรมสรรพสามิตสูญเสียรายได้จากการลดภาษีน้ำมันดีเซลประมาณเดือนละ 9,000 ล้านบาทหรือรวมแล้วทำให้กรมสูญเสียรายได้แล้ว 90,000 ล้านบาท จึงมองว่าขณะนี้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดเล็กน้อยและในช่วงเดือนเมษายนหรือหน้าร้อนน่าจะมีการใช้น้ำมันลดลงจึงน่าจะเป็นโอกาสให้ขยับภาษีขึ้นได้
“การเสนอปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตครั้งนี้ จะเสนอควบคู่ไปทั้งน้ำมันดีเซลและเบนซิน โดยหากขยับขึ้นก็ต้องปรับทั้ง 2 ตัว เพื่อไม่ให้กลไกลตลาดบิดเบือน และไม่ให้ราคาน้ำมันมีความใกล้เคียงกันมากเกินไป ซึ่งที่จะเสนอไปนั้นอาจจะปรับขึ้นครั้ง 1 บาทต่อลิตร ไม่ได้ปรับขึ้นทีเดียว 5 บาทเพราะอาจทำให้เกิดการช็อคตลาดและเป็นภาระแก่ประชาชนมากเกินไป แต่ที่ตั้งใจไว้อยากจะปรับเข้าสู่อัตราภาษีปกติ 5 บาทภายในปีงบประมาณ 2555 นี้” นางเบญจา กล่าว
นางเบญจา กล่าวว่า หากปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลทุก 1 บาท จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เข้ามาอีกประมาณเดือนละ 900 ล้านบาท ส่วนเบนซินปรับขึ้น 1 บาท จะทำให้มีรายไดเข้ามาอีกเดือนละ 1,500 ล้านบาท จากที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตยังจัดเก็บรายได้ได้ต่ำกว่าเป้าหมายโดย 4 เดือนของมีงบประมาณ 2555 ต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 1.7 พันล้านบาท โดยเฉพาะเดือนธันวาคม 2554 รายได้หายไปจากการหยุดผลิตรถยนต์และจากภาษีน้ำมัน ซึ่งตั้งแต่เดือนมกรคมที่ผ่านมาหลังจากเริ่มมีการผลิตรถยนต์และนำเข้ารถยนต์ของฮอนด้าก็ช่วยให้รายได้ปรับตัวดีขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม หากยังไม่มีการปรับขึ้นภาษีน้ำมันกรมฯ ก็จะขอลดเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ของปีงบประมาณ 2555 ลงจาก 4.05 แสนล้านบาท เหลือ 3.68 แสนล้านบาท แต่หากมีการปรับขึ้นภาษีน้ำมันเดือนมีนาคมนี้ก็น่าจะจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นมาใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้
สำหรับโครงการคืนเงินภาษีจากการซื้อรถยนต์คันแรกไม่เกิน 1 แสนบาทนั้น หลังจากที่มีการปรับเงื่อนไขให้สามารถโอนเปลี่ยนมือได้ก่อน 5 ปี กรณีรถชนเสียหายทั้งคัน เสียชีวิต หรือผ่อนหมดก่อน 5 ปี ทำให้มียอดการขอใช้สิทธิเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด มีการซื้อรถยนต์หมดที่เข้าข่ายได้รับสิทธิแล้วประมาณ 6 หมื่นคน แต่มายื่นเอกสารแล้วประมาณ 4 พันคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่มีแค่พันกว่ารายเท่านั้น ซึ่งเป็นผลมาจากการปลดล็อกเรื่อง 5 ปีกับทางบริษัทเช่าซื้อรถยนต์ และระบบไอทีมีการปรับปรุงให้เชื่อมโยงกับทางกรมการขนส่งทางบกและหน่วยงานอื่นได้ดีขึ้น โดยเชื่อว่าจะมีการยื่นเอกสารขอใช้สิทธิคืนภาษีทั้ง 6 หมื่นคนภายในปีนี้
ส่วนกรณีของผู้ที่รถยนต์ถูกน้ำท่วมเสียหายทั้งคัน และต้องการซื้อใหม่สามารถเข้าโครงการขอคืนเงินภาษีรถคันแรกนั้น ตามมติ ครม.ระบุให้ลงทะเบียนแจ้งความจำนงจะเข้าโครงการมาที่สำนักงานภาษีของกรมสรรพสามิตภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้ โดยยังไม่จำเป็นต้องมีการซื้อรถยนต์จริง เพื่อกรมฯจะได้ตรวจสอบว่ามีการใช้สิทธิซ่อมรถแล้วนำไปหักลดหย่อนในการยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่ เพราะหากใช้สิทธิกับกรมสรรพากรก็ไม่ควรได้สิทธิเข้าโครงการรถยนต์คันแรก
นางเบญจา หลุยเจริญ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์นี้จะหารือกับ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เพื่อหารือถึงการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตในกลุ้มผลิตภัณฑ์น้ำมัน ทั้งน้ำมันดีเซล และเบนซิน โดยจะเสนอเป็นแพกเกจให้ นายกิตติรัตน์พิจารณาก่อนจะเสนอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ทั้งนี้ ในส่วนของภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลนั้น ขณะนี้ปรับลดลงเหลือ 0.005 บาท/ลิตร จากที่เก็บอยู่ 5.31 บาทต่อลิตร และมีกำหนดถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์นี้ โดยการลดภาษีดีเซลดำเนินการมาตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อน ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน 2554 และได้รับการต่ออายุมาหลายครั้ง ซึ่งทำให้กรมสรรพสามิตสูญเสียรายได้จากการลดภาษีน้ำมันดีเซลประมาณเดือนละ 9,000 ล้านบาทหรือรวมแล้วทำให้กรมสูญเสียรายได้แล้ว 90,000 ล้านบาท จึงมองว่าขณะนี้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดเล็กน้อยและในช่วงเดือนเมษายนหรือหน้าร้อนน่าจะมีการใช้น้ำมันลดลงจึงน่าจะเป็นโอกาสให้ขยับภาษีขึ้นได้
“การเสนอปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตครั้งนี้ จะเสนอควบคู่ไปทั้งน้ำมันดีเซลและเบนซิน โดยหากขยับขึ้นก็ต้องปรับทั้ง 2 ตัว เพื่อไม่ให้กลไกลตลาดบิดเบือน และไม่ให้ราคาน้ำมันมีความใกล้เคียงกันมากเกินไป ซึ่งที่จะเสนอไปนั้นอาจจะปรับขึ้นครั้ง 1 บาทต่อลิตร ไม่ได้ปรับขึ้นทีเดียว 5 บาทเพราะอาจทำให้เกิดการช็อคตลาดและเป็นภาระแก่ประชาชนมากเกินไป แต่ที่ตั้งใจไว้อยากจะปรับเข้าสู่อัตราภาษีปกติ 5 บาทภายในปีงบประมาณ 2555 นี้” นางเบญจา กล่าว
นางเบญจา กล่าวว่า หากปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลทุก 1 บาท จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เข้ามาอีกประมาณเดือนละ 900 ล้านบาท ส่วนเบนซินปรับขึ้น 1 บาท จะทำให้มีรายไดเข้ามาอีกเดือนละ 1,500 ล้านบาท จากที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตยังจัดเก็บรายได้ได้ต่ำกว่าเป้าหมายโดย 4 เดือนของมีงบประมาณ 2555 ต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 1.7 พันล้านบาท โดยเฉพาะเดือนธันวาคม 2554 รายได้หายไปจากการหยุดผลิตรถยนต์และจากภาษีน้ำมัน ซึ่งตั้งแต่เดือนมกรคมที่ผ่านมาหลังจากเริ่มมีการผลิตรถยนต์และนำเข้ารถยนต์ของฮอนด้าก็ช่วยให้รายได้ปรับตัวดีขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม หากยังไม่มีการปรับขึ้นภาษีน้ำมันกรมฯ ก็จะขอลดเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ของปีงบประมาณ 2555 ลงจาก 4.05 แสนล้านบาท เหลือ 3.68 แสนล้านบาท แต่หากมีการปรับขึ้นภาษีน้ำมันเดือนมีนาคมนี้ก็น่าจะจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นมาใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้
สำหรับโครงการคืนเงินภาษีจากการซื้อรถยนต์คันแรกไม่เกิน 1 แสนบาทนั้น หลังจากที่มีการปรับเงื่อนไขให้สามารถโอนเปลี่ยนมือได้ก่อน 5 ปี กรณีรถชนเสียหายทั้งคัน เสียชีวิต หรือผ่อนหมดก่อน 5 ปี ทำให้มียอดการขอใช้สิทธิเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด มีการซื้อรถยนต์หมดที่เข้าข่ายได้รับสิทธิแล้วประมาณ 6 หมื่นคน แต่มายื่นเอกสารแล้วประมาณ 4 พันคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่มีแค่พันกว่ารายเท่านั้น ซึ่งเป็นผลมาจากการปลดล็อกเรื่อง 5 ปีกับทางบริษัทเช่าซื้อรถยนต์ และระบบไอทีมีการปรับปรุงให้เชื่อมโยงกับทางกรมการขนส่งทางบกและหน่วยงานอื่นได้ดีขึ้น โดยเชื่อว่าจะมีการยื่นเอกสารขอใช้สิทธิคืนภาษีทั้ง 6 หมื่นคนภายในปีนี้
ส่วนกรณีของผู้ที่รถยนต์ถูกน้ำท่วมเสียหายทั้งคัน และต้องการซื้อใหม่สามารถเข้าโครงการขอคืนเงินภาษีรถคันแรกนั้น ตามมติ ครม.ระบุให้ลงทะเบียนแจ้งความจำนงจะเข้าโครงการมาที่สำนักงานภาษีของกรมสรรพสามิตภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้ โดยยังไม่จำเป็นต้องมีการซื้อรถยนต์จริง เพื่อกรมฯจะได้ตรวจสอบว่ามีการใช้สิทธิซ่อมรถแล้วนำไปหักลดหย่อนในการยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่ เพราะหากใช้สิทธิกับกรมสรรพากรก็ไม่ควรได้สิทธิเข้าโครงการรถยนต์คันแรก