ASTV ผู้จัดการรายวัน - "ไทยออยล์" โชวผลงานไตรมาส3/54 รายได้จาการขาย 1.15 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากปริมาณการขายและราคาขายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นตามราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ดันกำไรสุทธิแตะ 2.5 พันล้านบาท
บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ประการผลดำเนินงานไตรมาส3/2554 ว่า ใน Q3/54 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขาย 115,536 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก Q3/53 จำนวน 36,495 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 46 เป็นผลมาจากปริมาณขายและราคาขายผลิตภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น (ราคาเฉลี่ยของน้ำมันดิบดูไบเพิ่มจาก 73.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลใน Q3/53 เป็น 107.1เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลใน Q3/54) โดยมี EBITDA จำนวน 5,565 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก Q3/53 จำนวน 1,576 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 เนื่องจากปริมาณและราคาขายที่เพิ่มขึ้นข้างต้นประกอบกับกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันที่มีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นปรับตัวสูงขึ้นจากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะที่ธุรกิจผลิตสารอะโรเมติกส์ที่มี Product to feed margin ปรับตัวสูงขึ้นตามอุปทานที่ตึงตัวหลังจากเหตุการณ์สึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น ความต้องการสารพาราไซลีนจากโรงพีทีเอ รวมทั้งการปิดซ่อมบำรุงของโรงงานหลายแห่งในภูมิภาคส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับ Q3/53 นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น เนื่องจาก IPT สามารถกลับมาดำเนินการผลิตได้อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 30พฤศจิกายน 2553 หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุทำให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันไอน้ำได้รับความเสียหายตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน2553 อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงจำนวน1,197 ล้านบาท ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 76 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น 70 ล้านบาท ส่งผลให้ใน Q3/54
ทำให้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 2,518 ล้านบาท (คิดเป็นกำไรสุทธิ 1.23 บาทต่อหุ้น) เพิ่มขึ้นจาก Q3/53 จำนวน 196 ล้านบาท ทั้งนี้ หากไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน บริษัทฯ และบริษัทย่อยจะมีกำไรสุทธิใน Q3/54 จำนวน 2,892 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 772 ล้านบาทจาก Q3/53สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2554 เปรียบเทียบกับงวด 9 เดือนแรกของปี 2553 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายจำนวน 336,545 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 99,399 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เป็นผลจากปริมาณขายและราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น (ราคาเฉลี่ยของน้ำมันดิบดูไบเพิ่มจาก 75.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในงวด 9 เดือนแรกของปี 2553 เป็น 106.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในงวด 9 เดือนแรกของปี 2554) และมีEBITDA 24,226 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,476 ล้านบาท
อีกทั้ง ตามผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นโดยเฉพาะจากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันซึ่งมีการใช้กำลังการกลั่นถึง 103% และมีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้น้ำมันและความกังวลจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเป็นผลให้อุปทานตึงตัว รวมทั้งผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจผลิตสารอะโรเมติกส์ ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานและธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่สามารถกลับมาดำเนินผลิตได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2554 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 311 ล้านบาท ลดลง 1,979 ล้านบาทเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เมื่อหักต้นทุนทางการเงิน 1,607 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 5,038 ล้านบาทบริษัทฯ และบริษัทย่อยจึงมีกำไรสุทธิ 12,991 ล้านบาท (คิดเป็นกำไรสุทธิ 6.37 บาทต่อหุ้น) เพิ่มขึ้น 7,613 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ หากไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน บริษัทฯ และบริษัทย่อยจะมีกำไรสุทธิสำหรับงวด 9เดือนแรกของปี 2554 จำนวน 9,812 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,579 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อน2. สภาพตลาดและสถานการณ์ราคาน้ำมัน ผลิตภัณฑ์อะโรมาติกส์และผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน
บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ประการผลดำเนินงานไตรมาส3/2554 ว่า ใน Q3/54 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขาย 115,536 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก Q3/53 จำนวน 36,495 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 46 เป็นผลมาจากปริมาณขายและราคาขายผลิตภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น (ราคาเฉลี่ยของน้ำมันดิบดูไบเพิ่มจาก 73.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลใน Q3/53 เป็น 107.1เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลใน Q3/54) โดยมี EBITDA จำนวน 5,565 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก Q3/53 จำนวน 1,576 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 เนื่องจากปริมาณและราคาขายที่เพิ่มขึ้นข้างต้นประกอบกับกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันที่มีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นปรับตัวสูงขึ้นจากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะที่ธุรกิจผลิตสารอะโรเมติกส์ที่มี Product to feed margin ปรับตัวสูงขึ้นตามอุปทานที่ตึงตัวหลังจากเหตุการณ์สึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น ความต้องการสารพาราไซลีนจากโรงพีทีเอ รวมทั้งการปิดซ่อมบำรุงของโรงงานหลายแห่งในภูมิภาคส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับ Q3/53 นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น เนื่องจาก IPT สามารถกลับมาดำเนินการผลิตได้อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 30พฤศจิกายน 2553 หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุทำให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันไอน้ำได้รับความเสียหายตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน2553 อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงจำนวน1,197 ล้านบาท ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 76 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น 70 ล้านบาท ส่งผลให้ใน Q3/54
ทำให้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 2,518 ล้านบาท (คิดเป็นกำไรสุทธิ 1.23 บาทต่อหุ้น) เพิ่มขึ้นจาก Q3/53 จำนวน 196 ล้านบาท ทั้งนี้ หากไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน บริษัทฯ และบริษัทย่อยจะมีกำไรสุทธิใน Q3/54 จำนวน 2,892 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 772 ล้านบาทจาก Q3/53สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2554 เปรียบเทียบกับงวด 9 เดือนแรกของปี 2553 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายจำนวน 336,545 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 99,399 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เป็นผลจากปริมาณขายและราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น (ราคาเฉลี่ยของน้ำมันดิบดูไบเพิ่มจาก 75.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในงวด 9 เดือนแรกของปี 2553 เป็น 106.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในงวด 9 เดือนแรกของปี 2554) และมีEBITDA 24,226 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,476 ล้านบาท
อีกทั้ง ตามผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นโดยเฉพาะจากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันซึ่งมีการใช้กำลังการกลั่นถึง 103% และมีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้น้ำมันและความกังวลจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเป็นผลให้อุปทานตึงตัว รวมทั้งผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจผลิตสารอะโรเมติกส์ ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานและธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่สามารถกลับมาดำเนินผลิตได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2554 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 311 ล้านบาท ลดลง 1,979 ล้านบาทเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เมื่อหักต้นทุนทางการเงิน 1,607 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 5,038 ล้านบาทบริษัทฯ และบริษัทย่อยจึงมีกำไรสุทธิ 12,991 ล้านบาท (คิดเป็นกำไรสุทธิ 6.37 บาทต่อหุ้น) เพิ่มขึ้น 7,613 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ หากไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน บริษัทฯ และบริษัทย่อยจะมีกำไรสุทธิสำหรับงวด 9เดือนแรกของปี 2554 จำนวน 9,812 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,579 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อน2. สภาพตลาดและสถานการณ์ราคาน้ำมัน ผลิตภัณฑ์อะโรมาติกส์และผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน