หุ้นไทยปิดบวก 15 จุด ตามตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค จากการคลายความกังวลต่อวิกฤตหนี้ในกลุ่มประเทศยุโรป และรอลุ้นตัวเลขจีดีพีของจีน ด้านปัจจัยในประเทศโบรกฯเชื่อเงินช่วยเหลือจะช่วยพยุงจีดีพีประเทศไม่รูดหนัก ประเมินทิศทางสัปดาห์นี้ปรับตัวขึ้นต่อ หลังเริ่มเห็นเม็ดเงินไหลกลับมา
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (17 ต.ค.) ปรับตัวอยู่ในแดนบวก โดยปิดที่ระดับ 971.63 จุด เพิ่มขึ้น 15.82 จุด หรือ +1.66% มูลค่าการซื้อขาย 25,208.42 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 973.40 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 960.91 จุด โดยเป็นการปรับขึ้นตามตลาดภูมิภาค ที่มีความคาดหวังเรื่องการแก้ปัญหาหนี้ยุโรป ซึ่งนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 2,410.92 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 1,467.41 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสุทธิ 467.78 ล้านบาท
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 307 หลักทรัพย์ ลดลง 166 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 133 หลักทรัพย์ ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,349.69 ล้านบาท ปิดที่ 300.00 บาท เพิ่มขึ้น 8.00 บาท SCC มูลค่าการซื้อขาย 1,768.96 ล้านบาท ปิดที่ 306.00 บาท เพิ่มขึ้น 12.00 บาท CPF มูลค่าการซื้อขาย 1,636.66 ล้านบาท ปิดที่ 29.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,628.37 ล้านบาท ปิดที่ 606.00 บาท เพิ่มขึ้น 32.00 บาท และ IVL มูลค่าการซื้อขาย 1,337.57 ล้านบาท ปิดที่ 35.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
ขณะที่ความเคลื่อนไหวกระดานต่างประเทศ พบว่า ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียบวก 69.80 จุด หรือ 1.7% ปิดที่ 4,275.40 จุด ,ดัชนีเวทเต็ดตลาดหุ้นไต้หวันปรับตัวขึ้น 103.04 จุด หรือ 1.4% ปิดที่ 7,461.12 จุด, ดัชนีนิกเคอิตลาดหุ้นโตเกียว ปิดพุ่งขึ้น 131.64 จุด หรือ 1.50% แตะที่ 8,879.60 จุด และดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงเพิ่มขึ้น 372.20 จุด หรือ 2.01% ปิดที่ 18,873.99 จุด
นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (17 ต.ค.) ปรับตัวขึ้นต่อโดยแกว่งตัวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า ไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยขณะนี้นักลงทุนรอดูความชัดเจนในการแก้ปัญหาหนี้ยุโรป ซึ่งในช่วงสุดสัปดาห์นี้จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป ซึ่งคาดกันว่าน่าจะมีแผนการอะไรออกมา ด้านปัจจัยในประเทศเรื่องผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมก็ดูผ่อนคลายลงบ้าง ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งแสดงว่ามีเม็ดเงินไหลเข้ามาในช่วงสั้นนี้ หลังคาดการณ์ว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 19 ต.ค.มีโอกาสสูงมากที่จะมีการลดดอกเบี้ยนโยบาย
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นภูมิภาค หลังมีความคาดหวังการแก้ไขปัญหาหนี้ยูโรโซนที่น่าจะบรรลุผล โดยต้องรอติดตามการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรปในวันที่ 23 ต.ค.ซึ่งถูกกดดันจากทุกฝ่ายว่าจะต้องมีมาตรการที่เป็นรูปธรรม มีรายละเอียดชัดเจน และสามารถปฏิบัติได้จริงใน 3 ประเด็น ได้แก่ การแก้ปัญหาภาคธนาคารด้วยการเพิ่มทุนให้กับธนาคารพาณิชย์ในยุโรป, การขยายกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) และแผนการแก้ไขปัญหาของกรีซ แต่หากผลการประชุมไม่เป็นไปตามคาดตลาดก็คงปรับตัวลงอย่างแน่นอน
ประกอบกับสัปดาห์นี้จะมีการประกาศตัวเลขจีดีพีของจีน หลายฝ่ายคาดว่าจะออกมาดี รวมถึงการที่ตัวเลขเงินเฟ้อของจีนในช่วงนี้ปรับตัวลดลง อาจทำให้รัฐบาลจีนผ่อนคลายนโยบายการเงินที่เข้มงวดลง ส่วนด้านปัจจัยในประเทศเรื่องผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมคงสร้างความเสียหายเป็นแสนล้านบาท แต่นักลงทุนได้ตอบรับข่าวนี้ไปตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว อย่างไรก็ตาม วันนี้หุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากภาวะน้ำท่วม อย่างเช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และรับเหมาก่อสร้าง ต่างปรับตัวขึ้น
ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (18 ต.ค.) ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ แต่ต้องรอติดตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ เพราะตอนนี้เม็ดเงิน flow กลับมาซื้อ จากก่อนหน้านี้ออกไปอยู่ในตราสารที่ไม่มีความเสี่ยง ส่วนเรื่องน้ำท่วมความเสียหายคงเป็นแสนล้านบาท แต่ก็จะมีเงินช่วยเหลือจากภาครัฐเข้ามาช่วยฟื้นฟู เงินตัวนี้จะเข้าไปทำให้จีดีพีไม่ลดหายไปมาก
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (17 ต.ค.) ปรับตัวอยู่ในแดนบวก โดยปิดที่ระดับ 971.63 จุด เพิ่มขึ้น 15.82 จุด หรือ +1.66% มูลค่าการซื้อขาย 25,208.42 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 973.40 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 960.91 จุด โดยเป็นการปรับขึ้นตามตลาดภูมิภาค ที่มีความคาดหวังเรื่องการแก้ปัญหาหนี้ยุโรป ซึ่งนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 2,410.92 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 1,467.41 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสุทธิ 467.78 ล้านบาท
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 307 หลักทรัพย์ ลดลง 166 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 133 หลักทรัพย์ ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,349.69 ล้านบาท ปิดที่ 300.00 บาท เพิ่มขึ้น 8.00 บาท SCC มูลค่าการซื้อขาย 1,768.96 ล้านบาท ปิดที่ 306.00 บาท เพิ่มขึ้น 12.00 บาท CPF มูลค่าการซื้อขาย 1,636.66 ล้านบาท ปิดที่ 29.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,628.37 ล้านบาท ปิดที่ 606.00 บาท เพิ่มขึ้น 32.00 บาท และ IVL มูลค่าการซื้อขาย 1,337.57 ล้านบาท ปิดที่ 35.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
ขณะที่ความเคลื่อนไหวกระดานต่างประเทศ พบว่า ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียบวก 69.80 จุด หรือ 1.7% ปิดที่ 4,275.40 จุด ,ดัชนีเวทเต็ดตลาดหุ้นไต้หวันปรับตัวขึ้น 103.04 จุด หรือ 1.4% ปิดที่ 7,461.12 จุด, ดัชนีนิกเคอิตลาดหุ้นโตเกียว ปิดพุ่งขึ้น 131.64 จุด หรือ 1.50% แตะที่ 8,879.60 จุด และดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงเพิ่มขึ้น 372.20 จุด หรือ 2.01% ปิดที่ 18,873.99 จุด
นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (17 ต.ค.) ปรับตัวขึ้นต่อโดยแกว่งตัวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า ไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยขณะนี้นักลงทุนรอดูความชัดเจนในการแก้ปัญหาหนี้ยุโรป ซึ่งในช่วงสุดสัปดาห์นี้จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป ซึ่งคาดกันว่าน่าจะมีแผนการอะไรออกมา ด้านปัจจัยในประเทศเรื่องผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมก็ดูผ่อนคลายลงบ้าง ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งแสดงว่ามีเม็ดเงินไหลเข้ามาในช่วงสั้นนี้ หลังคาดการณ์ว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 19 ต.ค.มีโอกาสสูงมากที่จะมีการลดดอกเบี้ยนโยบาย
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นภูมิภาค หลังมีความคาดหวังการแก้ไขปัญหาหนี้ยูโรโซนที่น่าจะบรรลุผล โดยต้องรอติดตามการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรปในวันที่ 23 ต.ค.ซึ่งถูกกดดันจากทุกฝ่ายว่าจะต้องมีมาตรการที่เป็นรูปธรรม มีรายละเอียดชัดเจน และสามารถปฏิบัติได้จริงใน 3 ประเด็น ได้แก่ การแก้ปัญหาภาคธนาคารด้วยการเพิ่มทุนให้กับธนาคารพาณิชย์ในยุโรป, การขยายกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) และแผนการแก้ไขปัญหาของกรีซ แต่หากผลการประชุมไม่เป็นไปตามคาดตลาดก็คงปรับตัวลงอย่างแน่นอน
ประกอบกับสัปดาห์นี้จะมีการประกาศตัวเลขจีดีพีของจีน หลายฝ่ายคาดว่าจะออกมาดี รวมถึงการที่ตัวเลขเงินเฟ้อของจีนในช่วงนี้ปรับตัวลดลง อาจทำให้รัฐบาลจีนผ่อนคลายนโยบายการเงินที่เข้มงวดลง ส่วนด้านปัจจัยในประเทศเรื่องผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมคงสร้างความเสียหายเป็นแสนล้านบาท แต่นักลงทุนได้ตอบรับข่าวนี้ไปตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว อย่างไรก็ตาม วันนี้หุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากภาวะน้ำท่วม อย่างเช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และรับเหมาก่อสร้าง ต่างปรับตัวขึ้น
ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (18 ต.ค.) ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ แต่ต้องรอติดตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ เพราะตอนนี้เม็ดเงิน flow กลับมาซื้อ จากก่อนหน้านี้ออกไปอยู่ในตราสารที่ไม่มีความเสี่ยง ส่วนเรื่องน้ำท่วมความเสียหายคงเป็นแสนล้านบาท แต่ก็จะมีเงินช่วยเหลือจากภาครัฐเข้ามาช่วยฟื้นฟู เงินตัวนี้จะเข้าไปทำให้จีดีพีไม่ลดหายไปมาก