โบรกเกอร์เตือนนักลงทุนชะลอขนเงินเข้าตลาด ชี้ เพื่อประเมินสถานการณ์ในต่างประเทศ ที่ยังผันผวนสูง อาจเกิดแรงเทขายต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน จนดัชนีรูดลงต่อ ภาพรวมเชื่อต่ำสุดไม่น่าหลุด 920 จุด และมีโอกาสรีบาวนด์เล็กน้อย แนะนำลงทุนหุ้นในกลุ่มการบริโภคในประเทศ หรือได้รับอานิสงส์จากนโยบายรัฐ เชื่อไตรมาส 4 เงินจากแอลทีเอฟ-อาร์เอ็มเอฟ เข้ามาสนับสนุน สัปดาห์นี้การช่วยเหลือกรีซ และตัวเลขเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ
สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (19-23 ก.ย.) ได้รับกระทบจากปัจจัยในต่างประเทศอย่างหนัก โดยเฉพาะความผิดหวังต่อผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งไม่เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าจะมีการนำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ขึ้นมาใช้ ภาพรวม3 ใน 5 วันทำการในสัปดาห์ก่อน ดัชนีปรับตัวในแดนลบ โดยลดลง 75.18 จุด หรือ -7.27% จากดัชนีปิดตลาดในวันที่ 16 ก.ย. ที่ระดับ 1,033.34 จุด มาอยู่ที่ 958.16 จุด เมื่อวันศุกร์ที่ 23ก.ย.
ขณะเดียวกัน ตั้งแต่ต้นวันที่ 1-23 กันยายน 2554 พบว่า นักลงทุนต่างชาติ สถาบัน และบัญชีบริษัทหลักทัพย์ (บล.) มีการขายสุทธิหุ้นไทย 15,845.96 ล้านบาท 7,917.40 ล้านบาท และ 141.08 ล้านบาท ตามลำดับ
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า ดัชนี SET ร่วงลงแรงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 7 เดือน ท่ามกลางความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจโลก แต่ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 17.21% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 26,481.33 ล้านบาท ทำให้แนวโน้มสัปดาห์ระหว่างวันที่ 26-30 ก.ย. 2554 มองว่า ดัชนีอาจยังคงผันผวนท่ามกลางความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจโลก โดยจะต้องจับตาการเจรจาปล่อยวงเงินช่วยเหลือกรีซจาก EU และ IMF ซึ่งการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องจับตา ได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้ครัวเรือน และจีดีพีไตรมาส 2/2554 ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ เครื่องชี้เศรษฐกิจรายเดือนโดยธปท. และเงินเฟ้อโดยกระทรวงพาณิชย์ โดย คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 937 และ 900 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 972 และ 990 จุด
**เตือนนักลงทุนแตะเบรกรอความชัดเจน
นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์(บล.)ฟินันเซียไซรัสจำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสถานการณ์ในช่วงนี้ว่า แรงเทขายที่เกิดขึ้นนี้มาจากความผิดหวังต่อเฟด ที่ไม่มีมาตรการใหม่ออกมา จึงเกิดการเทขายหุ้นในตลาดต่างๆทั่วโลกรวมถึงไทย ทั้งนี้บริษัทให้แนวรับที่สำคัญคือ 950 จุด ถัดมาคือ 920 จุด โดยในสัปดาห์นี้อาจเห็นดัชนีรีบาวนด์ขึ้นไปเล็กน้อย
“ที่ผ่านมา หุ้นไทยปรับตัวขึ้นก็เพราะได้รับแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ แต่ช่วงนี้เราจะหวังอย่างนี้ไม่ได้สักระยะ ภาพรวมไตรมาสสุดท้ายของปีจะมีเม็ดเงินจากกองทุนแอลทีเอฟ และอาร์เอ็มเอฟไหลเข้ามาในตลาดทุน ซึ่งจะช่วยพยุงดัชนีให้ปรับตัวขึ้นได้ในระดับหนึ่ง เรายังเชื่อเป้าหมายทั้งปีจะอยู่ที่1,200 จุด จากค่า P/E 17 เท่า แต่ตอนนี้อยู่ที่ 10.5 เท่า จึงมีโอกาสไปต่อได้เมื่อทุกอย่างคลี่คลาย”
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนชะลอการลงทุนในตลาดหุ้น และรอรอดูความชัดเจน หรือข่าวดีจากต่างประเทศ เนื่องจากประเมินว่ามีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะขายสุทธิในตลาดหุ้นออกมาอีก ทำให้ในระยะสั้นนี้ไม่ควรลงทุน ส่วนระยะยาว แนะนำลงทุนหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล หรือหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในต่างประเทศ เช่น กลุ่มพาณิชย์ เป็นต้น
ด้าน บล.ทรีนิตี้ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การปรับตัวของดัชนีหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (26-30ก.ย.) ไม่หวังให้ดัชนีกลับมาเหมือนเดิม แต่ขอเพียง 1,026 จุด สูงสุดของรอบนี้ และหวังว่าระดับ 940 จุดที่ลงไปถึงจะเป็นจุดต่ำสุด (ชั่วคราว) แต่โดยรวมประเมินว่าความผันผวนในตลาดทุนโลกอาจยืดเยื้อไปถึงปีหน้า หากผู้นำของสถาบันการเงินไม่ออกมาพูดในทางที่ดีขึ้น ก็หวังยากที่หุ้นไทยและหุ้นทั่วโลกจะกลับดีดังเดิม
ดังนั้น ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนน้อยต่อหุ้นส่งออก และหุ้นที่เป็นคอมมอดิตี้ ถึงอ่อนตัวลงมาก็จะยังไม่เป็นกลุ่มนำที่จะเข้าซื้อ โดยยังเน้นการลงทุนในกลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มสื่อสาร การปรับพอร์ต ลดพอร์ต ยังต้องทำต่อไป ไม่อาจฝืนกระแสโลกได้ ทำให้มีความเห็นคงเดิม คือ DTAC, ADVANC, INTUCH, BGH, HMPRO พร้อมคาดการณ์กรอบดัชนี แนวรับ 940 แนวต้าน 990
**กองทุนเชื่อมั่นหุ้นร่วงไม่ถึง 920 จุด
ณัฐดนัย ประทานพรทิพย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด กล่าวว่าแนวโน้มตลาดหุ้นระยะสั้นยังคงมีความน่าสนใจอย่างมาก แม้ว่าในช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมาดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงไปถึง 70 จุด จากปัจจัยความวิตกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น
โดยตลาดหุ้นไทยังคงมีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีปัจจัยพื้นฐานดี อีกทั้งได้รับปัจจัยบวกจากนโยบายของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยคาดว่าสัปดาห์นี้ดัชนีจะปรับตัวอยู่ที่ 920-1,000 จุด
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในสัปดาห์นี้ นักลงทุนควรจับตาตัวเลขการอุปโภคบริโภคในสหรัฐอเมริกาที่จะประกาศออกมา รวมไปถึงการประชุมของเยอรมันในการหาแนวทางการในการช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซและกลุ่มอียู
“เราประเมินว่า ปัจจัยที่เกิดจะเกิดขึ้น จะไม่ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงไปต่ำกว่า 920 จุดอย่างแน่นอน ดังนั้น อยากแนะนำให้นักลงทุนติดตามการเเก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด”
โดยหุ้นที่อยากแนะนำได้แก่ หุ้นกลุ่มคอนซูเมอร์ หรือหุ้นกลุ่มที่มีการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นหลัก อาทิเช่น หุ้นกลุ่มสื่อสาร เพราะที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มนี้ไม่ค่อยมีความผันผวนมากนัก จากภาวะเศรษฐกิจโลก อีกทั้งยังมีอัตราการเติบโตที่ดี และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาล และหุ้นกลุ่มสุดท้าย ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ แต่ทั้งนี้ นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังจากการเทขายทำกำไรจากนักลงทุนต่างชาติด้วย
สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (19-23 ก.ย.) ได้รับกระทบจากปัจจัยในต่างประเทศอย่างหนัก โดยเฉพาะความผิดหวังต่อผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งไม่เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าจะมีการนำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ขึ้นมาใช้ ภาพรวม3 ใน 5 วันทำการในสัปดาห์ก่อน ดัชนีปรับตัวในแดนลบ โดยลดลง 75.18 จุด หรือ -7.27% จากดัชนีปิดตลาดในวันที่ 16 ก.ย. ที่ระดับ 1,033.34 จุด มาอยู่ที่ 958.16 จุด เมื่อวันศุกร์ที่ 23ก.ย.
ขณะเดียวกัน ตั้งแต่ต้นวันที่ 1-23 กันยายน 2554 พบว่า นักลงทุนต่างชาติ สถาบัน และบัญชีบริษัทหลักทัพย์ (บล.) มีการขายสุทธิหุ้นไทย 15,845.96 ล้านบาท 7,917.40 ล้านบาท และ 141.08 ล้านบาท ตามลำดับ
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า ดัชนี SET ร่วงลงแรงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 7 เดือน ท่ามกลางความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจโลก แต่ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 17.21% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 26,481.33 ล้านบาท ทำให้แนวโน้มสัปดาห์ระหว่างวันที่ 26-30 ก.ย. 2554 มองว่า ดัชนีอาจยังคงผันผวนท่ามกลางความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจโลก โดยจะต้องจับตาการเจรจาปล่อยวงเงินช่วยเหลือกรีซจาก EU และ IMF ซึ่งการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องจับตา ได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้ครัวเรือน และจีดีพีไตรมาส 2/2554 ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ เครื่องชี้เศรษฐกิจรายเดือนโดยธปท. และเงินเฟ้อโดยกระทรวงพาณิชย์ โดย คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 937 และ 900 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 972 และ 990 จุด
**เตือนนักลงทุนแตะเบรกรอความชัดเจน
นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์(บล.)ฟินันเซียไซรัสจำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสถานการณ์ในช่วงนี้ว่า แรงเทขายที่เกิดขึ้นนี้มาจากความผิดหวังต่อเฟด ที่ไม่มีมาตรการใหม่ออกมา จึงเกิดการเทขายหุ้นในตลาดต่างๆทั่วโลกรวมถึงไทย ทั้งนี้บริษัทให้แนวรับที่สำคัญคือ 950 จุด ถัดมาคือ 920 จุด โดยในสัปดาห์นี้อาจเห็นดัชนีรีบาวนด์ขึ้นไปเล็กน้อย
“ที่ผ่านมา หุ้นไทยปรับตัวขึ้นก็เพราะได้รับแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ แต่ช่วงนี้เราจะหวังอย่างนี้ไม่ได้สักระยะ ภาพรวมไตรมาสสุดท้ายของปีจะมีเม็ดเงินจากกองทุนแอลทีเอฟ และอาร์เอ็มเอฟไหลเข้ามาในตลาดทุน ซึ่งจะช่วยพยุงดัชนีให้ปรับตัวขึ้นได้ในระดับหนึ่ง เรายังเชื่อเป้าหมายทั้งปีจะอยู่ที่1,200 จุด จากค่า P/E 17 เท่า แต่ตอนนี้อยู่ที่ 10.5 เท่า จึงมีโอกาสไปต่อได้เมื่อทุกอย่างคลี่คลาย”
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนชะลอการลงทุนในตลาดหุ้น และรอรอดูความชัดเจน หรือข่าวดีจากต่างประเทศ เนื่องจากประเมินว่ามีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะขายสุทธิในตลาดหุ้นออกมาอีก ทำให้ในระยะสั้นนี้ไม่ควรลงทุน ส่วนระยะยาว แนะนำลงทุนหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล หรือหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในต่างประเทศ เช่น กลุ่มพาณิชย์ เป็นต้น
ด้าน บล.ทรีนิตี้ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การปรับตัวของดัชนีหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (26-30ก.ย.) ไม่หวังให้ดัชนีกลับมาเหมือนเดิม แต่ขอเพียง 1,026 จุด สูงสุดของรอบนี้ และหวังว่าระดับ 940 จุดที่ลงไปถึงจะเป็นจุดต่ำสุด (ชั่วคราว) แต่โดยรวมประเมินว่าความผันผวนในตลาดทุนโลกอาจยืดเยื้อไปถึงปีหน้า หากผู้นำของสถาบันการเงินไม่ออกมาพูดในทางที่ดีขึ้น ก็หวังยากที่หุ้นไทยและหุ้นทั่วโลกจะกลับดีดังเดิม
ดังนั้น ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนน้อยต่อหุ้นส่งออก และหุ้นที่เป็นคอมมอดิตี้ ถึงอ่อนตัวลงมาก็จะยังไม่เป็นกลุ่มนำที่จะเข้าซื้อ โดยยังเน้นการลงทุนในกลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มสื่อสาร การปรับพอร์ต ลดพอร์ต ยังต้องทำต่อไป ไม่อาจฝืนกระแสโลกได้ ทำให้มีความเห็นคงเดิม คือ DTAC, ADVANC, INTUCH, BGH, HMPRO พร้อมคาดการณ์กรอบดัชนี แนวรับ 940 แนวต้าน 990
**กองทุนเชื่อมั่นหุ้นร่วงไม่ถึง 920 จุด
ณัฐดนัย ประทานพรทิพย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด กล่าวว่าแนวโน้มตลาดหุ้นระยะสั้นยังคงมีความน่าสนใจอย่างมาก แม้ว่าในช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมาดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงไปถึง 70 จุด จากปัจจัยความวิตกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น
โดยตลาดหุ้นไทยังคงมีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีปัจจัยพื้นฐานดี อีกทั้งได้รับปัจจัยบวกจากนโยบายของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยคาดว่าสัปดาห์นี้ดัชนีจะปรับตัวอยู่ที่ 920-1,000 จุด
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในสัปดาห์นี้ นักลงทุนควรจับตาตัวเลขการอุปโภคบริโภคในสหรัฐอเมริกาที่จะประกาศออกมา รวมไปถึงการประชุมของเยอรมันในการหาแนวทางการในการช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซและกลุ่มอียู
“เราประเมินว่า ปัจจัยที่เกิดจะเกิดขึ้น จะไม่ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงไปต่ำกว่า 920 จุดอย่างแน่นอน ดังนั้น อยากแนะนำให้นักลงทุนติดตามการเเก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด”
โดยหุ้นที่อยากแนะนำได้แก่ หุ้นกลุ่มคอนซูเมอร์ หรือหุ้นกลุ่มที่มีการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นหลัก อาทิเช่น หุ้นกลุ่มสื่อสาร เพราะที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มนี้ไม่ค่อยมีความผันผวนมากนัก จากภาวะเศรษฐกิจโลก อีกทั้งยังมีอัตราการเติบโตที่ดี และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาล และหุ้นกลุ่มสุดท้าย ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ แต่ทั้งนี้ นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังจากการเทขายทำกำไรจากนักลงทุนต่างชาติด้วย