“เลขาฯสมาคมค้าทองคำ” ประเมินทิศทางราคาทองคำ ยังโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯที่ยังไม่ดี รวมถึงในยูโรโซน กดดันให้นักลงทุนหนีเงินสกุลดอลลาร์ น้ำมัน และ หุ้น หันมาลงทุนในทองคำเพิ่มเติม แม้ปัจจุบันมีการปรับฐานลงไปบ้างแล้ว
นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยถึงแนวโน้มราคาทองคำ ว่า ปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯยังไม่มีท่าทางจะฟื้นในช่วง 2-3 ปีนี้แน่นอน เนื่องจากนโยบายในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาไม่สามารถลดตัวเลขคนว่างงานในประเทศลงได้
ขณะที่ปัญหาการบริโภคภายในประเทศก็ไม่กระเตื้องขึ้น ประกอบกับนักลงทุนไม่มีความเชื่อมั่นในสกุลเงินดอลลาร์ จึงได้เปลี่ยนจากการถือครองดอลลาร์, น้ำมัน และหุ้น มาที่ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและปลอดภัยสูง ดังนั้น ทำให้ทองคำจึงเป็นสินทรัพย์ที่มีความต้องการสูงทั้งจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ และนักลงทุน ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะมีการปรับฐานลงมาบ้างแต่ยังคงสามารถที่จะยืนได้เหนือระดับที่ 1,800 เหรียญ/ออนซ์ได้
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความวิตกกังวลถึงประเด็นหนี้สินรัฐบาลในประเทศกลุ่มยูโรโซนที่ทั่วโลกกำลังจับตามองว่ารัฐบาลเยอรมันและฝรั่งเศส ซึ่งเป็นแกนสำคัญนั้น จะมีนโยบายใหม่ๆ ออกมาเพื่อยับยั้งปัญหาไม่ให้ลุกลามไปยังประเทศสมาชิกอื่นๆในแถบยูโรโซนได้หรือไม่
ส่วนในอีกหลายๆ ประเทศของกลุ่ม เริ่มออกมาตราการเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศของตน โดยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ในประเทศต้องเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเผื่อหนี้สูญ รวมทั้งลดการก่อหนี้สาธารณะเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อการชำระหนี้คืนในอนาคต และเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนในเศรษฐกิจโลก
ปัจจัยเหล่านี้ มีผลทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในเอเชียเพิ่มมากขึ้น เพราะมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง เช่น จีน, อินเดีย, เกาหลีใต้, ไทย, มาเลเซีย, อินโดนิเซีย, เวียดนาม เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้แต่ละประเทศมีเงินไหลเข้าจำนวนมาก และไปซื้อทองคำเพิ่มมากขึ้นจนอุปสงค์ต่อทองคำมีมากกว่าปริมาณที่ผลิตได้ หมายถึงยิ่งทำให้ราคาทองคำให้สูงขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม การที่แต่ละประเทศจะเปลี่ยนสัดส่วนจากสกุลเงินตราต่างประเทศมาเป็นทองคำนั้น ธนาคารกลางแต่ละชาติต้องคำนวณถึงสภาพคล่องด้วย เพราะถ้านำเงินที่มีอยู่มาซื้อทองคำจำนวนมาก เมื่อเกิดปัญหาการเงินภายในประเทศขึ้น สภาพคล่องที่จะเปลี่ยนทองคำมาเป็นเงินนั้น อาจมีความคล่องตัวน้อยกว่าการถือเงินสด ซึ่งอาจจะกระทบต่อปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศได้
นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยถึงแนวโน้มราคาทองคำ ว่า ปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯยังไม่มีท่าทางจะฟื้นในช่วง 2-3 ปีนี้แน่นอน เนื่องจากนโยบายในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาไม่สามารถลดตัวเลขคนว่างงานในประเทศลงได้
ขณะที่ปัญหาการบริโภคภายในประเทศก็ไม่กระเตื้องขึ้น ประกอบกับนักลงทุนไม่มีความเชื่อมั่นในสกุลเงินดอลลาร์ จึงได้เปลี่ยนจากการถือครองดอลลาร์, น้ำมัน และหุ้น มาที่ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและปลอดภัยสูง ดังนั้น ทำให้ทองคำจึงเป็นสินทรัพย์ที่มีความต้องการสูงทั้งจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ และนักลงทุน ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะมีการปรับฐานลงมาบ้างแต่ยังคงสามารถที่จะยืนได้เหนือระดับที่ 1,800 เหรียญ/ออนซ์ได้
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความวิตกกังวลถึงประเด็นหนี้สินรัฐบาลในประเทศกลุ่มยูโรโซนที่ทั่วโลกกำลังจับตามองว่ารัฐบาลเยอรมันและฝรั่งเศส ซึ่งเป็นแกนสำคัญนั้น จะมีนโยบายใหม่ๆ ออกมาเพื่อยับยั้งปัญหาไม่ให้ลุกลามไปยังประเทศสมาชิกอื่นๆในแถบยูโรโซนได้หรือไม่
ส่วนในอีกหลายๆ ประเทศของกลุ่ม เริ่มออกมาตราการเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศของตน โดยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ในประเทศต้องเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเผื่อหนี้สูญ รวมทั้งลดการก่อหนี้สาธารณะเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อการชำระหนี้คืนในอนาคต และเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนในเศรษฐกิจโลก
ปัจจัยเหล่านี้ มีผลทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในเอเชียเพิ่มมากขึ้น เพราะมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง เช่น จีน, อินเดีย, เกาหลีใต้, ไทย, มาเลเซีย, อินโดนิเซีย, เวียดนาม เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้แต่ละประเทศมีเงินไหลเข้าจำนวนมาก และไปซื้อทองคำเพิ่มมากขึ้นจนอุปสงค์ต่อทองคำมีมากกว่าปริมาณที่ผลิตได้ หมายถึงยิ่งทำให้ราคาทองคำให้สูงขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม การที่แต่ละประเทศจะเปลี่ยนสัดส่วนจากสกุลเงินตราต่างประเทศมาเป็นทองคำนั้น ธนาคารกลางแต่ละชาติต้องคำนวณถึงสภาพคล่องด้วย เพราะถ้านำเงินที่มีอยู่มาซื้อทองคำจำนวนมาก เมื่อเกิดปัญหาการเงินภายในประเทศขึ้น สภาพคล่องที่จะเปลี่ยนทองคำมาเป็นเงินนั้น อาจมีความคล่องตัวน้อยกว่าการถือเงินสด ซึ่งอาจจะกระทบต่อปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศได้