"บิ๊กไฝ" ยัน ปตท. พร้อมปรับลดราคาน้ำมันได้ทันที หากที่ประชุม "กพช.-กบง." มีข้อสรุป การลดส่งเงินเข้ากองทุนฯ เชื่อ การรักษาส่วนต่าง "เบนซิน-แก๊สโซฮอล์" ทำได้ทั้ง 2 วิธี ทั้งการใช้เงินกองทุนฯ และการลดภาษีสรรพสามิตร "สรัญ" ชี้ แนวโน้มน้ำมันโลกพุ่ง หากสหรัฐฯ เข็นมาตรการ QE3 พร้อมส่งสัญญาณ ปรับขึ้นราคาขายปลีก
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด ผมหาชน) หรือ PTT กล่าวถึงนโยบายลดราคาน้ำมันโดยการปรับลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยระบุว่า หากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันจากเบนซิน 91 , เบนซิน 95 และดีเซล ตามนโยบายรัฐบาล และมีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ ปตท.ก็สามารถดำเนินการได้ทันที
ทั้งนี้ ยังมีประเด็นที่กังวล คือ วิธีการเช็คสต็อกน้ำมันคงค้าง และการจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ค้าน้ำมันทั้งก่อนและหลังมาตรการ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย พร้อมทั้งเห็นว่า แนวทางการรักษาส่วนต่างราคาระหว่างเบนซินกับแก๊สโซฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ที่มีอยู่ หรือการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันนั้น รัฐบาลจะสามารถจัดการได้ และหากมีการรักษาส่วนต่างราคาได้จริง เชื่อว่าการเดินหน้าแผนการลงทุนด้านพลังงานทดแทนของ ปตท.จะยังเดินหน้าได้ตามเดิม
อย่างไรก็ดี เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะไม่ส่งผลต่อสถานะเงินกองทุนน้ำมันฯ มากนัก เพราะเป็นมาตรการระยะสั้นเท่านั้น แต่หากเงินไม่พอรัฐบาลก็คงต้องหาเงินกู้มาใช้ในการดูแลราคาน้ำมัน
นายประเสริฐ กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่จะปรับลดลงหลังการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ จะไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เนื่องจากยังคงมีราคาถูกกว่า อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลยังต้องการตรึงราคา NGV ให้อยู่ที่ระดับ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ต่อไป จำเป็นต้องมีมาตรการเสริมมาสนับสนุน เพราะในช่วงปลายปีนี้สถานีบริการ NGV ของ ปตท.จะขยายเป็น 500 แห่งทั่วประเทศ และจะมีการใช้มากขึ้นกว่า 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หากไม่มีมาตรการรองรับจะทำให้ ปตท.ต้องแบกรับภาระขาดทุนมากขึ้น
ส่วนนโยบายบัตรเครดิตพลังงานนั้น นายประเสริฐ เห็นด้วยกับแนวคิดนี้เนื่องจากเป็นแนวนโยบายที่จะให้ความช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันผ่านกลไกบัตรเครดิต เช่น กลุ่มรถสาธารณะ , เกษตรกร และประมง ส่วนกลุ่มอื่นที่นอกเหนือจากนี้ก็ไม่ควรได้รับการอุดหนุนเพราะมีกำลังซื้อสูงอยู่แล้ว
สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกในช่วงปลายปีนี้ ยังคงอยู่ในระดับสูงเฉลี่ย 100 ดอลลาร์ต่อต่อบาร์เรล และหากสหรัฐอเมริกา ประกาศใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินหรือมาตรการ (QE3) จะทำให้ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้นอีก เนื่องจากทั่วโลกมีความมั่นใจมากขึ้น
ด้านนายสรัญ รังคสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุรกิจน้ำมัน ปตท. กล่าวว่า แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกสัปดาห์หน้ามีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ค่าการตลาดน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซลเฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 บาทต่อลิตร จึงมีโอกาสที่ ปตท.อาจพิจารณาปรับขึ้นราคาน้ำมันอีก 40-50 สตางค์ต่อลิตร แต่ทั้งนี้จะต้องรอให้การปรับลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ มีความชัดเจนก่อน