หุ้นไทยรูด 10 จุด ตามตลาดอื่นในภูมิภาค หลังญี่ปุ่นถูกลดอันดับเครดิต และ กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โบรกเกอร์ประเมินนักลงทุนชะลอดูความชัดเจนการประชุมเฟดศุกร์นี้ ต่อมาตรการ QE3 หากไม่เกิดขึ้นดัชนีจะถอยลงต่อ ด้านทองคำหนีก็ไม่พ้นหลังขึ้นแรงจัด เจอกองทุนต่างชาติเริ่มเทขายทำกำไรเพื่อรอผลประชุมเฟดเช่นกัน ส่งผลราคาลดลง 450 บาทต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (24 ส.ค.) ดัชนีปรับตัวลดลงตามภูมิภาค หลัง มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางธุรกิจและเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นลงถึง 1 อันดับ จากเดิมที่อยู่ระดับ “เอเอ2 (Aa2)” ลงไปสู่ระดับ “เอเอ3 (Aa3)” ส่งผลให้ตลาดหุ้นต่างปรับตัวลดลง โดยดัชนีหลักทรัพย์ของไทย ปิดที่ระดับ 1,046.43 จุด ลดลง 10.85 จุด หรือ -1.03% มูลค่าการซื้อขาย 33,050 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,061.74 จุด และต่ำสุด 1,040.94 จุด ทำให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,545.90 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน อีกปัจจัยที่เข้ามากดดันตลาด คือ การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยทำให้หุ้นที่ราคาปรับลงส่วนหนึ่งเป็นแรงขายของต่างชาติ หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 106 หลักทรัพย์ ลดลง 403 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 104 หลักทรัพย์ และหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ BANPU มูลค่าการซื้อขาย 2,547.10 ล้านบาท ปิดที่ 594.00 บาท ลดลง 18.00 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,897.50 ล้านบาท ปิดที่ 124.50 บาท ลดลง 1.50 บาท BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,844.28 ล้านบาท ปิดที่ 151.00 บาท ลดลง 3.50 บาท SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,584.23 ล้านบาท ปิดที่ 114.50 บาท ลดลง 2.00 บาท และ PTTCH มูลค่าการซื้อขาย 1,453.49 ล้านบาท ปิดที่ 129.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท
ส่วนตลาดหุ้นอื่นๆ พบว่า ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวันลดลง 47.3 จุด หรือ 0.63% ปิดที่ 7,502.93 จุด , ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียว ร่วงลง 93.40 จุด หรือ 1.07% แตะที่ 8,639.61 จุด ,ดัชนีคอมโพสิต ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ร่วงลง 21.9 จุด หรือ 1.23% ปิดที่ระดับ 1,754.78 จุด , ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีนลดลง 12.93 จุด หรือ 0.51% ปิดที่ 2,541.09 จุด ส่วนดัชนีหุ้นเสิ่นเจิ้นลดลง 4.47 จุด หรือ 0.04% ปิดที่ 11,238.95 จุด และดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 408.74 จุด หรือ 2.06% ปิดที่ 19,466.79 จุด
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งแคบ ภาพรวมตลาดโลกโดยเฉพาะฝั่งยุโรปและสหรัฐมีการเก็งกำไรว่าอาจมี Short Covering (ต่างชาติซื้อคืน) เพราะคาดว่าวันศุกร์นี้เฟดอาจจะมีข่าวดี ส่วนเอเชียไม่ได้ปรับลงแรงในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยอิงปัจจัยในประเทศมากกว่า นโยบายรัฐบาลจะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรบ้าง รวมถึงผลประชุม กนง. ซึ่งตลาดคาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง ก่อนจะทรงตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อรอดูภาวะเศรษฐกิจโลก
“ช่วงนี้ยังอยู่ใน wait & see เพื่อรอความชัดเจนของวันศุกร์นี้และนโยบายรัฐบาลและกนง. ดัชนีจะแกว่งในกรอบจำกัด คิดว่าจำกัดถึงสุดสัปดาห์รอทุกๆ เรื่องออกมาชัดเจนและสัปดาห์หน้าน่าจะมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้นว่าจะลงต่อหรือขึ้นแรง”
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับลงต่อหลังกนง.ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็นตัวซ้ำเติมตลาด หุ้นที่ปรับลงเป็นหุ้นมีแรงขายจากต่างประเทศ เช่น แบงก์ ยกเว้นหุ้น Domestic เช่น ADVANCE DTAC ที่บวกสวนตลาด ส่วนหุ้นตัวอื่นได้รับแรงกดดันจากตลาดภายนอก คาดต่างชาติยังขายสุทธิ ทำให้ทิศทางวันนี้ (25 ส.ค.) ถ้าดัชนี SET ลงมาที่ low เดิม 1,039 จุด หรืออย่างแย่สุดที่ 1,000 จุดต้นๆ น่าจะมีกองทุน LTF/RMF เข้ามาซื้อ ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามต่อคือภาคปฏิบัติของนโยบายรัฐบาล ปัจจัยต่างประเทศรอท่าทีประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันศุกร์นี้ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หรือใช้ QE3 หรือไม่ เพราะหากไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดหุ้นก็จะลงไปเรื่อยๆ เพราะนักลงทุนไม่ค่อยเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯว่าจะเติบโตได้ และสถานการณ์ปรับลดคาดการณ์จีดีพีก็ยังมีค่อนข้างสูงอยู่
**ทองคำร่วงรอความชัดเจน
ขณะเดียวกัน สมาคมค้าทองคำ รายงานราคาทองประจำวันที่ 24 ส.ค.ว่า ทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 26,150 ขายบาทละ 26,250 บาท ราคาทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 25,772 บาท ขายบาทละ 26,650 บาท ซึ่งตลอดทั้งวันราคาทองคำปรับตัวลดลง 450 บาท
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาขายทองคำที่ปรับลดลงแรง เนื่องจากกองทุนเริ่มเทขายทองคำออกมา ทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกลดลงมาถึงระดับ 1,820 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ก็มีแรงซื้อกลับทำให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวที่ 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า การทำกำไรของกองทุนครั้งนี้ จะต่อเนื่องหรือไม่ คงต้องติดตามการแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะการออกมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องรอบ 3 (QE3) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แต่ก็เชื่อว่าจะไม่ได้ผลเหมือนกับมาตรการ QE2 ดังนั้น ราคาทองคำยังมีแนวโน้มปรับขึ้นได้ต่อ
สำหรับบรรยากาศร้านทองย่านเยาวราชวานนี้ ยังหนาแน่นไปด้วยประชาชนที่เข้าคิวซื้อทองคำ โดยเฉพาะวานนี้ราคาทองคำปรับลดลงมาก ซึ่งร้านทองต้องแจกใบจองให้ลูกค้ามารับทองในสัปดาห์หน้า
ขณะที่ นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด หรือ YLG กล่าวว่า เริ่มเห็นแรงขายทำกำไรในทองคำ โดยปรับตัวลงอย่างหนักในรอบ18เดือน หรือนับตั้งแต่เดือน ก.พ.2010 หลังจากทำจุดสูงสุดใหม่เหนือโซน 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ว่าจะยังไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ๆเข้ามาในตลาด ทำให้ยังมองว่าแรงขายทำกำไรที่เกิดขึ้นค่อนข้างเร็วและรุนแรง แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนเริ่มมีความกลัวถึงการปรับตัวขึ้นอย่างหนักของราคาทองคำ ซึ่งพอจะสะท้อนออกมาโดยกองทุน SPDR ที่เริ่มเห็นการขายออกมาบ้างแล้วเช่นกัน และเชื่อว่า ความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดตอนนี้ยากที่จะคาดการณ์ว่าจะจบลงที่จุดใด
ทั้งนี้ วายแอลจี เน้นย้ำไปที่การบริหารพอร์ตเป็นหลัก โดยตั้งจุดตัดขาดทุน หากราคาปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันความเสียหายของพอร์ตการลงทุน และเน้นลงทุนระยะสั้นจะปลอดภัยกว่า แต่สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว วายแอลจีแนะนำให้อดทนรอจังหวะที่เกิดแรงขายทำกำไรแรงๆ (การปรับฐานราคา) ก่อนเข้ามาสะสมทองคำอีกครั้ง
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (24 ส.ค.) ดัชนีปรับตัวลดลงตามภูมิภาค หลัง มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางธุรกิจและเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นลงถึง 1 อันดับ จากเดิมที่อยู่ระดับ “เอเอ2 (Aa2)” ลงไปสู่ระดับ “เอเอ3 (Aa3)” ส่งผลให้ตลาดหุ้นต่างปรับตัวลดลง โดยดัชนีหลักทรัพย์ของไทย ปิดที่ระดับ 1,046.43 จุด ลดลง 10.85 จุด หรือ -1.03% มูลค่าการซื้อขาย 33,050 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,061.74 จุด และต่ำสุด 1,040.94 จุด ทำให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,545.90 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน อีกปัจจัยที่เข้ามากดดันตลาด คือ การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยทำให้หุ้นที่ราคาปรับลงส่วนหนึ่งเป็นแรงขายของต่างชาติ หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 106 หลักทรัพย์ ลดลง 403 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 104 หลักทรัพย์ และหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ BANPU มูลค่าการซื้อขาย 2,547.10 ล้านบาท ปิดที่ 594.00 บาท ลดลง 18.00 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,897.50 ล้านบาท ปิดที่ 124.50 บาท ลดลง 1.50 บาท BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,844.28 ล้านบาท ปิดที่ 151.00 บาท ลดลง 3.50 บาท SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,584.23 ล้านบาท ปิดที่ 114.50 บาท ลดลง 2.00 บาท และ PTTCH มูลค่าการซื้อขาย 1,453.49 ล้านบาท ปิดที่ 129.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท
ส่วนตลาดหุ้นอื่นๆ พบว่า ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวันลดลง 47.3 จุด หรือ 0.63% ปิดที่ 7,502.93 จุด , ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียว ร่วงลง 93.40 จุด หรือ 1.07% แตะที่ 8,639.61 จุด ,ดัชนีคอมโพสิต ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ร่วงลง 21.9 จุด หรือ 1.23% ปิดที่ระดับ 1,754.78 จุด , ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีนลดลง 12.93 จุด หรือ 0.51% ปิดที่ 2,541.09 จุด ส่วนดัชนีหุ้นเสิ่นเจิ้นลดลง 4.47 จุด หรือ 0.04% ปิดที่ 11,238.95 จุด และดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 408.74 จุด หรือ 2.06% ปิดที่ 19,466.79 จุด
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งแคบ ภาพรวมตลาดโลกโดยเฉพาะฝั่งยุโรปและสหรัฐมีการเก็งกำไรว่าอาจมี Short Covering (ต่างชาติซื้อคืน) เพราะคาดว่าวันศุกร์นี้เฟดอาจจะมีข่าวดี ส่วนเอเชียไม่ได้ปรับลงแรงในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยอิงปัจจัยในประเทศมากกว่า นโยบายรัฐบาลจะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรบ้าง รวมถึงผลประชุม กนง. ซึ่งตลาดคาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง ก่อนจะทรงตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อรอดูภาวะเศรษฐกิจโลก
“ช่วงนี้ยังอยู่ใน wait & see เพื่อรอความชัดเจนของวันศุกร์นี้และนโยบายรัฐบาลและกนง. ดัชนีจะแกว่งในกรอบจำกัด คิดว่าจำกัดถึงสุดสัปดาห์รอทุกๆ เรื่องออกมาชัดเจนและสัปดาห์หน้าน่าจะมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้นว่าจะลงต่อหรือขึ้นแรง”
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับลงต่อหลังกนง.ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็นตัวซ้ำเติมตลาด หุ้นที่ปรับลงเป็นหุ้นมีแรงขายจากต่างประเทศ เช่น แบงก์ ยกเว้นหุ้น Domestic เช่น ADVANCE DTAC ที่บวกสวนตลาด ส่วนหุ้นตัวอื่นได้รับแรงกดดันจากตลาดภายนอก คาดต่างชาติยังขายสุทธิ ทำให้ทิศทางวันนี้ (25 ส.ค.) ถ้าดัชนี SET ลงมาที่ low เดิม 1,039 จุด หรืออย่างแย่สุดที่ 1,000 จุดต้นๆ น่าจะมีกองทุน LTF/RMF เข้ามาซื้อ ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามต่อคือภาคปฏิบัติของนโยบายรัฐบาล ปัจจัยต่างประเทศรอท่าทีประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันศุกร์นี้ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หรือใช้ QE3 หรือไม่ เพราะหากไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดหุ้นก็จะลงไปเรื่อยๆ เพราะนักลงทุนไม่ค่อยเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯว่าจะเติบโตได้ และสถานการณ์ปรับลดคาดการณ์จีดีพีก็ยังมีค่อนข้างสูงอยู่
**ทองคำร่วงรอความชัดเจน
ขณะเดียวกัน สมาคมค้าทองคำ รายงานราคาทองประจำวันที่ 24 ส.ค.ว่า ทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 26,150 ขายบาทละ 26,250 บาท ราคาทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 25,772 บาท ขายบาทละ 26,650 บาท ซึ่งตลอดทั้งวันราคาทองคำปรับตัวลดลง 450 บาท
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาขายทองคำที่ปรับลดลงแรง เนื่องจากกองทุนเริ่มเทขายทองคำออกมา ทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกลดลงมาถึงระดับ 1,820 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ก็มีแรงซื้อกลับทำให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวที่ 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า การทำกำไรของกองทุนครั้งนี้ จะต่อเนื่องหรือไม่ คงต้องติดตามการแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะการออกมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องรอบ 3 (QE3) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แต่ก็เชื่อว่าจะไม่ได้ผลเหมือนกับมาตรการ QE2 ดังนั้น ราคาทองคำยังมีแนวโน้มปรับขึ้นได้ต่อ
สำหรับบรรยากาศร้านทองย่านเยาวราชวานนี้ ยังหนาแน่นไปด้วยประชาชนที่เข้าคิวซื้อทองคำ โดยเฉพาะวานนี้ราคาทองคำปรับลดลงมาก ซึ่งร้านทองต้องแจกใบจองให้ลูกค้ามารับทองในสัปดาห์หน้า
ขณะที่ นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด หรือ YLG กล่าวว่า เริ่มเห็นแรงขายทำกำไรในทองคำ โดยปรับตัวลงอย่างหนักในรอบ18เดือน หรือนับตั้งแต่เดือน ก.พ.2010 หลังจากทำจุดสูงสุดใหม่เหนือโซน 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ว่าจะยังไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ๆเข้ามาในตลาด ทำให้ยังมองว่าแรงขายทำกำไรที่เกิดขึ้นค่อนข้างเร็วและรุนแรง แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนเริ่มมีความกลัวถึงการปรับตัวขึ้นอย่างหนักของราคาทองคำ ซึ่งพอจะสะท้อนออกมาโดยกองทุน SPDR ที่เริ่มเห็นการขายออกมาบ้างแล้วเช่นกัน และเชื่อว่า ความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดตอนนี้ยากที่จะคาดการณ์ว่าจะจบลงที่จุดใด
ทั้งนี้ วายแอลจี เน้นย้ำไปที่การบริหารพอร์ตเป็นหลัก โดยตั้งจุดตัดขาดทุน หากราคาปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันความเสียหายของพอร์ตการลงทุน และเน้นลงทุนระยะสั้นจะปลอดภัยกว่า แต่สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว วายแอลจีแนะนำให้อดทนรอจังหวะที่เกิดแรงขายทำกำไรแรงๆ (การปรับฐานราคา) ก่อนเข้ามาสะสมทองคำอีกครั้ง