ทองคำพุ่งไม่หยุด ขึ้นอีก 1,050 บาท ดันทองคำแท่งและรูปพรรณทะลุ 25,000 บาทแล้ว จากความวิตกกังวลต่อหนี้สาธารณะในยุโรป และวิกฤตที่สหรัฐฯ ชี้ระยะสั้นยังมีโอกาสขึ้นต่อ แต่ความผันผวนเสี่ยงต่อการลงมีสูง ฟากตลาดหุ้นรูดอีก 35 จุด โบรกฯยอมรับประเมินยาก แนะจับตาผลประชุมเฟดเรื่องมาตรการQE3 ตลาดหลักทรัพย์ฯปลอบหุ้นไทยร่วงต่ำสุดในภูมิภาค จากเศรษฐกิจดี การเมืองนิ่ง บจ.กำไรดี แต่ให้จับตาราคาน้ำมันที่ร่วงอาจมีผลต่อกลุ่มพลังงาน ที่คิดเป็น20%ของมาร์เกตแคป
ความกังวลต่อวิกฤตเศรษฐกิจในต่างประเทศยังมีต่อเนื่อง หนุนให้ราคาทองคำวานนี้(9ส.ค.) ปรับตัวขึ้นสูงมากกว่าที่ผ่านมาจนทำสถิติใหม่อีกครั้ง จนสมาคมผู้ค้าทองคำ ต้องปรับเปลี่ยนราคาทองคำขึ้นลงถึง 14 ครั้งภายในหนึ่งวัน โดยทองคำแท่ง รับซื้อคืนบาทละ 25,000 บาท และขายออกบาทละ 25,100 บาท ส่วนทองคำรูปพรรณ รับซื้อคืนบาทละ 24,635 บาท และขายออกบาทละ 25,500 บาท
นายธนสิน กลีบลำเจียก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ราคาทองคำยังคงปรับ เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าวานนี้ต่อเนื่องถึงเที่ยงโดยราคาทองคำแท่งทำ สิถิติสูงสุดที่บาทละ 25050/25150 เนื่องจากแรงซื้อทองคำจากนโยบาย ารเงินสหรัฐฯในปัจจุบันที่เอื้อต่อการเก็งกำไรและผลักดันราคา ทองคำใน ทางบวก ประกอบกับปัจจัยด้านความเสี่ยงของแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงยังคงมีมุมมองว่าราคาทองคำน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปในระยะสั้น และแรงซื้อที่เข้ามาตลอดสองวันน่าจะลดลงตามการรับข่าว
ขณะเดียวกัน ตามราคาทองคำที่ ปรับเพิ่มขึ้นถึง $110/ทรอยเอาน์ในช่วง 2 วันหรือคิดเป็นราคาในประเทศเพิ่มขึ้นบาทละ 1650 จากราคาทองคำเมื่อวันเสาร์นั้นจะทำให้การซื้อขายต่อจากนี้ไปจะมีความผันผวนสูงมากขึ้ นและข่าวที่ต้องติดตามในคืนนี้คือ นโยบายการเงินของเฟดเรื่อง QE3 ที่น่าจะทำให้เกิดความผันผวนของราคาทองคำได้
ด้าน นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ รองประธานกรรมการ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลก ได้ปรับตัวขึ้นกว่า 300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากจุดต่ำสุดเดิมที่บริเวณ 1,477 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นับมาถึงปัจจุบันได้ปรับตัวขึ้นกว่า 20% ไม่แตกต่างจากราคาทองคำในประเทศที่ปรับตัวขึ้นมา 17.45% เช่นเดียวกัน โดยมองว่าทิศทางราคาทองคำทั้งในตลาดโลกและภายในประเทศจะยังเดินหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่วายแอลจีได้มีปรับเป้าหมายราคาทองคำใหม่ โดยประเมินปลายปีไว้ที่ 1,830-1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 25,120-25,400 บาทต่อบาททองคำ จากเมื่อต้นปีมองไว้ที่ 1,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์
โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญจากความกังวลที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงต่อเนื่องและจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น หลังถูกปรับลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือ ซึ่งยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจของสหรัฐให้ดำดิ่งลงไป เพราะคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรของสหรัฐฯจะต้องสูงขึ้นทำให้ต้นทุนการเงินอาจต้องสูงขึ้นไปด้วย จนทำให้เศรษฐกิจอาจชะลอตัวลง
นอกจากนี้ วิกฤตทางฝั่งยุโรปที่รุนแรงไม่แพ้กัน เมื่อสเปนเริ่มมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นแม้หนี้สาธารณะจะไม่มากเหมือนประเทศอื่นๆแต่ ธนาคารของสเปนมีส่วนที่ปล่อยกู้ให้โปรตุเกสสูงถึง 75,000 ล้านยูโร ซึ่งคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หากโปรตุเกสผิดนัดชำระหนี้ สเปนก็จะตกอยู่ในสภาวะอันตราย
หุ้นไทยยังร่วงหนักอีก35จุด
ส่วนความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนี้ (9ส.ค.) ดัชนียังเคลื่อนไหวในแดนลบ โดยปิดที่ระดับ 1,042.54 จุด ลดลง 35.65 จุด หรือ -3.31% มูลค่าการซื้อขาย 63,606.85 ล้านบาท นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวลงทั่วหน้า เนื่องจากกังวลในเรื่องการตั้งสำรองฯ และการเพิ่มทุน โดยเฉพาะ RBS(Royal Bank of Scotchland)ได้ปรับตัวลง 7-8%
รวมตลาดฯยังให้ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจในสหรัฐฯ อีกทั้งล่าสุดจีนก็ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้เกิดความกังวลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ส่งผลให้เกิด Panic Sell แล้วโยกเม็ดเงินลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่นทองคำ อย่างไรก็ดี ให้จับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ว่าโดยเฉพาะรอดูเรื่องมาตรการความช่วยเหลือว่าจะมีหรือเปล่า
แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(10 ส.ค.) คาดการณ์ได้ยากว่าดัชนีจะเป็นอย่างไร ซึ่งคงจะต้องขึ้นอยู่กับตลาดสหรัฐฯด้วย พร้อมให้แนวรับ 1,020-1,000 จุด แนวต้าน 1,060 จุด
นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการสายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธองค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า การที่ดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศและไทยมีการปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจาก นักลงทุนตื่นตกใจจากปัจจัยลบหลายๆที่เข้ามากระทบในเรื่องปัญหาหนี้ของยุโรป สหรัฐฯ จึงทำให้การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงมากขึ้น
สำหรับความความตื่นตกใจครั้งนี้จะใช้เวลานานแค่ไหนนั้น คงต้องรอดูอีก 2-3 วัน ว่าทางสหรัฐฯจะมีการดำเนินการอย่างไร ซึ่งหากสหรัฐมีมาตรการ QE3 การปรับลดการขาดดุลงบประมาณ หรือมาตรการที่เกี่ยวกับทุนสำรอง น่าจะทำให้นักลงทุนสบายใจขึ้น และจะมีการเริ่มพิจารณาจัดสรรเงินลงทุนรอบใหม่
ทั้งนี้ในช่วงวันที่ 1-8 สิงหาคมที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติถือืว่ามีการขายหุ้นไทยออกไม่มาก เพียง มูลค่า 2,964.27 ล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาค และยังมียอดซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอยู่ 20,229.45 ล้านบาท เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยมีการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ที่ต้องระวังคือสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลงแรง โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ซึ่งอาจกระทบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยมาก 20% ของมาร์เกตแคป
ความกังวลต่อวิกฤตเศรษฐกิจในต่างประเทศยังมีต่อเนื่อง หนุนให้ราคาทองคำวานนี้(9ส.ค.) ปรับตัวขึ้นสูงมากกว่าที่ผ่านมาจนทำสถิติใหม่อีกครั้ง จนสมาคมผู้ค้าทองคำ ต้องปรับเปลี่ยนราคาทองคำขึ้นลงถึง 14 ครั้งภายในหนึ่งวัน โดยทองคำแท่ง รับซื้อคืนบาทละ 25,000 บาท และขายออกบาทละ 25,100 บาท ส่วนทองคำรูปพรรณ รับซื้อคืนบาทละ 24,635 บาท และขายออกบาทละ 25,500 บาท
นายธนสิน กลีบลำเจียก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ราคาทองคำยังคงปรับ เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าวานนี้ต่อเนื่องถึงเที่ยงโดยราคาทองคำแท่งทำ สิถิติสูงสุดที่บาทละ 25050/25150 เนื่องจากแรงซื้อทองคำจากนโยบาย ารเงินสหรัฐฯในปัจจุบันที่เอื้อต่อการเก็งกำไรและผลักดันราคา ทองคำใน ทางบวก ประกอบกับปัจจัยด้านความเสี่ยงของแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงยังคงมีมุมมองว่าราคาทองคำน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปในระยะสั้น และแรงซื้อที่เข้ามาตลอดสองวันน่าจะลดลงตามการรับข่าว
ขณะเดียวกัน ตามราคาทองคำที่ ปรับเพิ่มขึ้นถึง $110/ทรอยเอาน์ในช่วง 2 วันหรือคิดเป็นราคาในประเทศเพิ่มขึ้นบาทละ 1650 จากราคาทองคำเมื่อวันเสาร์นั้นจะทำให้การซื้อขายต่อจากนี้ไปจะมีความผันผวนสูงมากขึ้ นและข่าวที่ต้องติดตามในคืนนี้คือ นโยบายการเงินของเฟดเรื่อง QE3 ที่น่าจะทำให้เกิดความผันผวนของราคาทองคำได้
ด้าน นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ รองประธานกรรมการ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลก ได้ปรับตัวขึ้นกว่า 300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากจุดต่ำสุดเดิมที่บริเวณ 1,477 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นับมาถึงปัจจุบันได้ปรับตัวขึ้นกว่า 20% ไม่แตกต่างจากราคาทองคำในประเทศที่ปรับตัวขึ้นมา 17.45% เช่นเดียวกัน โดยมองว่าทิศทางราคาทองคำทั้งในตลาดโลกและภายในประเทศจะยังเดินหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่วายแอลจีได้มีปรับเป้าหมายราคาทองคำใหม่ โดยประเมินปลายปีไว้ที่ 1,830-1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 25,120-25,400 บาทต่อบาททองคำ จากเมื่อต้นปีมองไว้ที่ 1,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์
โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญจากความกังวลที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงต่อเนื่องและจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น หลังถูกปรับลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือ ซึ่งยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจของสหรัฐให้ดำดิ่งลงไป เพราะคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรของสหรัฐฯจะต้องสูงขึ้นทำให้ต้นทุนการเงินอาจต้องสูงขึ้นไปด้วย จนทำให้เศรษฐกิจอาจชะลอตัวลง
นอกจากนี้ วิกฤตทางฝั่งยุโรปที่รุนแรงไม่แพ้กัน เมื่อสเปนเริ่มมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นแม้หนี้สาธารณะจะไม่มากเหมือนประเทศอื่นๆแต่ ธนาคารของสเปนมีส่วนที่ปล่อยกู้ให้โปรตุเกสสูงถึง 75,000 ล้านยูโร ซึ่งคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หากโปรตุเกสผิดนัดชำระหนี้ สเปนก็จะตกอยู่ในสภาวะอันตราย
หุ้นไทยยังร่วงหนักอีก35จุด
ส่วนความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนี้ (9ส.ค.) ดัชนียังเคลื่อนไหวในแดนลบ โดยปิดที่ระดับ 1,042.54 จุด ลดลง 35.65 จุด หรือ -3.31% มูลค่าการซื้อขาย 63,606.85 ล้านบาท นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวลงทั่วหน้า เนื่องจากกังวลในเรื่องการตั้งสำรองฯ และการเพิ่มทุน โดยเฉพาะ RBS(Royal Bank of Scotchland)ได้ปรับตัวลง 7-8%
รวมตลาดฯยังให้ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจในสหรัฐฯ อีกทั้งล่าสุดจีนก็ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้เกิดความกังวลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ส่งผลให้เกิด Panic Sell แล้วโยกเม็ดเงินลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่นทองคำ อย่างไรก็ดี ให้จับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ว่าโดยเฉพาะรอดูเรื่องมาตรการความช่วยเหลือว่าจะมีหรือเปล่า
แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(10 ส.ค.) คาดการณ์ได้ยากว่าดัชนีจะเป็นอย่างไร ซึ่งคงจะต้องขึ้นอยู่กับตลาดสหรัฐฯด้วย พร้อมให้แนวรับ 1,020-1,000 จุด แนวต้าน 1,060 จุด
นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการสายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธองค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า การที่ดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศและไทยมีการปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจาก นักลงทุนตื่นตกใจจากปัจจัยลบหลายๆที่เข้ามากระทบในเรื่องปัญหาหนี้ของยุโรป สหรัฐฯ จึงทำให้การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงมากขึ้น
สำหรับความความตื่นตกใจครั้งนี้จะใช้เวลานานแค่ไหนนั้น คงต้องรอดูอีก 2-3 วัน ว่าทางสหรัฐฯจะมีการดำเนินการอย่างไร ซึ่งหากสหรัฐมีมาตรการ QE3 การปรับลดการขาดดุลงบประมาณ หรือมาตรการที่เกี่ยวกับทุนสำรอง น่าจะทำให้นักลงทุนสบายใจขึ้น และจะมีการเริ่มพิจารณาจัดสรรเงินลงทุนรอบใหม่
ทั้งนี้ในช่วงวันที่ 1-8 สิงหาคมที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติถือืว่ามีการขายหุ้นไทยออกไม่มาก เพียง มูลค่า 2,964.27 ล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาค และยังมียอดซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอยู่ 20,229.45 ล้านบาท เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยมีการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ที่ต้องระวังคือสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลงแรง โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ซึ่งอาจกระทบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยมาก 20% ของมาร์เกตแคป