บล.เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ หวังยอดปล่อยมาร์จินเพิ่ม 400-500 ล้านบาท หลังปล่อยโปรโมชันลดดอกเบี้ยมาร์จินโลนเหลือ 6.5% ต่อปี จากปกติ 8.5% ต่อปี แข่งโบรกเกอร์ เริ่ม1 ส.ค.-31 ธ.ค. คาดสิ้นปียอดตามเป้า 3.5 พันล้านบาท “นภาภรณ์” เผย กำไรปีนี้ต่ำเป้า เหตุลงทุนระบบใหม่ เล็งทบทวนแผน-งบประมาณปี 55 สิ้นเดือนนี้
นางนภาภรณ์ ลัญฉน์ดี กรรมการผู้จัดาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSFC เปิดเผยว่า บริษัทหวังยอดการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จินโลน) ของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 400-500 ล้านบาท จากการที่บริษัทจัดโปรโมชัน ลดอัตราดอกเบี้ยการปล่อยมาร์จินโลนให้กบลูกค้าบัญชีเครดิตบาลานซ์ ที่นำไปซื้อหุ้นในกลุ่ม SET 50 อยู่ที่ 6.5% ต่อไป จากปกติอยู่ที่ 8.50% ต่อปี ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2554- 31 ธันวาคม 2554
ทั้งนี้ การจัดโปรโมชันดังกล่าวเพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักลงทุนเข้ามาขอสินเชื่อกับบริษัทเพิ่มขึ้น เนื่องจากโบรกเกอร์มีการให้บริการมาร์จิ้นโลนที่ให้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่ากับบริษัท ทำให้นักลงทุนหันใช้บริการกับโบรกเกอร์ ประกอบกับลูกค้าของบริษัทจะเป็นลักษณะถือยาว ซึ่งหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาลูกค้าของบริษัทมีการขายหุ้นออกมา โดยหากภาวะตลาดหุ้นไทยมีการอ่อนตัวเชื่อว่าลูกค้าก็จะกลับมาซื้อหุ้นอีก
“สำหรับในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ยอดการปล่อยมาร์จินของบริษัททรงตัว โดยมียอดการปล่อยมาร์จินโลนอยู่ที่ 2,500-2,600 ล้านบาท โดยปีนี้บริษัทคาดว่ามูลค่าการปล่อยมาร์จินโลนปีนี้ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย อยู่ที่ 3,500 ล้านบาท หรืออาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากการจัดโปรโมชั่นดังกล่าว เพราะนักลงทุนที่อาจมีวงเงินเต็มกับโบรกเกอร์แล้ว หรือ โบรกเอร์มีการปล่อยมาร์จินจำนวนมากแล้ว หันมาใช้บริการกับบริษัทมากขึ้น” นางนภาภรณ์ กล่าว
โดยที่ผ่านมา ยอดการปล่อนมาร์จินของบริษัททรงตัว แม้ภาวะตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะโบรกเกอร์มีการปล่อยมาร์จินอัตราที่ต่ำกว่าบริษัท และลูกค้าของบริษัทจะถือหุ้นยาว เทรดไม่มาก พอตลาดหุ้นขึ้นมาก็พบว่ามีการขายหุ้นออกไป แต่เชื่อว่า ภาวะตลาดปรับตัวลดลงก็จะมีการกลับเข้าไปลงทุน ผลจากบริษัทโปรโมชันลดดอกเบี้ยมาร์จินโลนอยูที่ 6.5% ต่อปีจากปกติ 8.5% นั้น หวังว่าจะทำให้มีลูกค้าที่เทรดหุ้นใน SET 50 เข้ามาใช้บริการกับบริษัทเพิ่มขึ้น เพราะดอกเบี้ยใกล้เคียงกับโกบรเกอร์ โดยหวังว่าจะมียอดการทำธุรกรรมดังกล่าวเพิ่มขึ้นเดือนละ 100 ล้านบาท
นางนภาภรณ์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่ากำไรในปีนี้จะต่ำกว่าเป้าหมายที่บริษัทคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 70 ล้านบท เนื่องจากบริษัทได้มีการลงทุนในเรื่องระบบ เนื่องจากบริษัทมีการทำธุรกรรมใหม่ คือ การยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ ขณะนี้บริษัทมีโบรกเอร์เข้ามาเชื่อมระบบในทำธุรกรรมดังกล่าวแล้ว 3 แห่ง คือ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS และ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด (มหาชน) หรือ GBX ฯลฯ และจากการที่บริษัทไม่มีพอร์ตการลงทุน ซึ่งมีแต่การซื้อขายตราสารหนี้เล็กน้อย เท่านั้น โดยในสิ้นเดือนนี้บริษัทจะมีการทบทวนแผนงานปีนี้ และทำงบประมาณปีหน้า
สำหรับเงื่อนไขโปรโมชันลดอัตราดอกเบี้ยมีดังนี้ คือ หุ้นที่จะซื้อหรือวางเพิ่มเป็นหลักประกันในบัญชี เครดิตบาลานซ์ จะต้องเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม SET 50 นั้น กรณีที่บัญชีเดิมมีหุ้นที่อยู่นอกเหนื้อจาก SET50 แล้วจะต้องทำการขายหรือโอนออกจากบัญชีก่อนที่จะเริ่มโปรโมชัน การคิดอัตราดอกเบี้ย คิดเป็นรายวันตามยอดหนี้คงค้าง คิดรวมทุกสิ้นเดือนโดยระหว่างเดือนที่มีการใช้สินเชื่อ เครดิตบาลานซ์หากในบัญชีมีการซื้อขายหุ้น หรือวางหุ้นเพิ่มเป็นประกันเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET 50 แล้ว จะคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ ให้สำหรับยอดหนี้ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งเดือน
ทั้งนี้ หากมีการซื้อขายหรือวางหุ้นเพิ่มเป็นประกัน เป็นหุ้นที่อยู่นอกเหนือจากหุ้นกลุ่ม SET 50 แล้ว จะคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปกติสำหรับยอดหุ้นที่เกิดขึ้นตลอดทั้งเดือน กรณีที่หุ้นตัวใดถูกถอดออกจาก SET 50 ตามประกาศของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หากลูกค้ามีหุ้นตัวดังกล่าวในบัญชีจะต้องขายหรือถอนหุ้นดังกล่าวออกไปจากบัญชีก่อนที่ประกาศจะมีผลบังคับใช้เพื่อรักษาสิทธิในอัตราดอกเบี้ยพิเศษต่อไป กรณีที่ลูกค้าแจ้งความประสงค์ที่จะปิดบัญชีในช่วงเวลาระหว่างเดือน จะถูกคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปกติ สำหรับยอดหนี้ที่เกิดขึ้นในเดือนนี้
นางนภาภรณ์ ลัญฉน์ดี กรรมการผู้จัดาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSFC เปิดเผยว่า บริษัทหวังยอดการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จินโลน) ของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 400-500 ล้านบาท จากการที่บริษัทจัดโปรโมชัน ลดอัตราดอกเบี้ยการปล่อยมาร์จินโลนให้กบลูกค้าบัญชีเครดิตบาลานซ์ ที่นำไปซื้อหุ้นในกลุ่ม SET 50 อยู่ที่ 6.5% ต่อไป จากปกติอยู่ที่ 8.50% ต่อปี ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2554- 31 ธันวาคม 2554
ทั้งนี้ การจัดโปรโมชันดังกล่าวเพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักลงทุนเข้ามาขอสินเชื่อกับบริษัทเพิ่มขึ้น เนื่องจากโบรกเกอร์มีการให้บริการมาร์จิ้นโลนที่ให้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่ากับบริษัท ทำให้นักลงทุนหันใช้บริการกับโบรกเกอร์ ประกอบกับลูกค้าของบริษัทจะเป็นลักษณะถือยาว ซึ่งหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาลูกค้าของบริษัทมีการขายหุ้นออกมา โดยหากภาวะตลาดหุ้นไทยมีการอ่อนตัวเชื่อว่าลูกค้าก็จะกลับมาซื้อหุ้นอีก
“สำหรับในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ยอดการปล่อยมาร์จินของบริษัททรงตัว โดยมียอดการปล่อยมาร์จินโลนอยู่ที่ 2,500-2,600 ล้านบาท โดยปีนี้บริษัทคาดว่ามูลค่าการปล่อยมาร์จินโลนปีนี้ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย อยู่ที่ 3,500 ล้านบาท หรืออาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากการจัดโปรโมชั่นดังกล่าว เพราะนักลงทุนที่อาจมีวงเงินเต็มกับโบรกเกอร์แล้ว หรือ โบรกเอร์มีการปล่อยมาร์จินจำนวนมากแล้ว หันมาใช้บริการกับบริษัทมากขึ้น” นางนภาภรณ์ กล่าว
โดยที่ผ่านมา ยอดการปล่อนมาร์จินของบริษัททรงตัว แม้ภาวะตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะโบรกเกอร์มีการปล่อยมาร์จินอัตราที่ต่ำกว่าบริษัท และลูกค้าของบริษัทจะถือหุ้นยาว เทรดไม่มาก พอตลาดหุ้นขึ้นมาก็พบว่ามีการขายหุ้นออกไป แต่เชื่อว่า ภาวะตลาดปรับตัวลดลงก็จะมีการกลับเข้าไปลงทุน ผลจากบริษัทโปรโมชันลดดอกเบี้ยมาร์จินโลนอยูที่ 6.5% ต่อปีจากปกติ 8.5% นั้น หวังว่าจะทำให้มีลูกค้าที่เทรดหุ้นใน SET 50 เข้ามาใช้บริการกับบริษัทเพิ่มขึ้น เพราะดอกเบี้ยใกล้เคียงกับโกบรเกอร์ โดยหวังว่าจะมียอดการทำธุรกรรมดังกล่าวเพิ่มขึ้นเดือนละ 100 ล้านบาท
นางนภาภรณ์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่ากำไรในปีนี้จะต่ำกว่าเป้าหมายที่บริษัทคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 70 ล้านบท เนื่องจากบริษัทได้มีการลงทุนในเรื่องระบบ เนื่องจากบริษัทมีการทำธุรกรรมใหม่ คือ การยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ ขณะนี้บริษัทมีโบรกเอร์เข้ามาเชื่อมระบบในทำธุรกรรมดังกล่าวแล้ว 3 แห่ง คือ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS และ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด (มหาชน) หรือ GBX ฯลฯ และจากการที่บริษัทไม่มีพอร์ตการลงทุน ซึ่งมีแต่การซื้อขายตราสารหนี้เล็กน้อย เท่านั้น โดยในสิ้นเดือนนี้บริษัทจะมีการทบทวนแผนงานปีนี้ และทำงบประมาณปีหน้า
สำหรับเงื่อนไขโปรโมชันลดอัตราดอกเบี้ยมีดังนี้ คือ หุ้นที่จะซื้อหรือวางเพิ่มเป็นหลักประกันในบัญชี เครดิตบาลานซ์ จะต้องเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม SET 50 นั้น กรณีที่บัญชีเดิมมีหุ้นที่อยู่นอกเหนื้อจาก SET50 แล้วจะต้องทำการขายหรือโอนออกจากบัญชีก่อนที่จะเริ่มโปรโมชัน การคิดอัตราดอกเบี้ย คิดเป็นรายวันตามยอดหนี้คงค้าง คิดรวมทุกสิ้นเดือนโดยระหว่างเดือนที่มีการใช้สินเชื่อ เครดิตบาลานซ์หากในบัญชีมีการซื้อขายหุ้น หรือวางหุ้นเพิ่มเป็นประกันเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET 50 แล้ว จะคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ ให้สำหรับยอดหนี้ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งเดือน
ทั้งนี้ หากมีการซื้อขายหรือวางหุ้นเพิ่มเป็นประกัน เป็นหุ้นที่อยู่นอกเหนือจากหุ้นกลุ่ม SET 50 แล้ว จะคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปกติสำหรับยอดหุ้นที่เกิดขึ้นตลอดทั้งเดือน กรณีที่หุ้นตัวใดถูกถอดออกจาก SET 50 ตามประกาศของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หากลูกค้ามีหุ้นตัวดังกล่าวในบัญชีจะต้องขายหรือถอนหุ้นดังกล่าวออกไปจากบัญชีก่อนที่ประกาศจะมีผลบังคับใช้เพื่อรักษาสิทธิในอัตราดอกเบี้ยพิเศษต่อไป กรณีที่ลูกค้าแจ้งความประสงค์ที่จะปิดบัญชีในช่วงเวลาระหว่างเดือน จะถูกคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปกติ สำหรับยอดหนี้ที่เกิดขึ้นในเดือนนี้
