xs
xsm
sm
md
lg

"เอเชีย กรีนฯ" ยันปิด รง.ถ่านหิน ไม่กระทบ "ยูนิค" แจงไม่เกี่ยว "ทองนาค" โดนยิง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอเชีย กรีนฯ แจงผู้ว่าฯ สั่งปิดท่าเรือ-รง.ถ่านหิน เริ่มส่งผลกระทบ รง.บางแห่งขาดแคลน เตรียมเดินหน้ายื่นอุทธรณ์ พร้อมยืนยัน กระทบบริษัทน้อยมาก ระบุ กลุ่มถ่านหิน เข้าสู่ช่วงพีคปลายปี จีนเร่งนำเข้าเพิ่ม-โรงไฟฟ้าญี่ปุ่นเริ่มเดินเครื่องได้ตามปรกติ ด้านผู้บริหาร "ยูนิค ไมนิ่งฯ" ยันกรณี "ทองนาค" แกนนำต่อต้านฯ โดนยิงเสียชีวิต ไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะอยู่คนละพื้นที่ พร้อมโวยคำสั่งปิดหว่านแหทุกโรงงาน ทำเกินกว่าเหตุ เพราะบริษัทไม่มีปัญหาอะไร

นายพนม ควรสถาพร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE กล่าวถึงความคืบหน้าการปิดท่าเรือที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยยอมรับว่า ขณะนี้พบว่าโรงงานบางแห่งเริ่มขาดแคลนเชื้อเพลิงถ่านหิน เพราะไม่สามารถเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงอื่นแทนได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังสามารถส่งสินค้าให้กับลูกค้าได้ตามกำหนด แต่ยอมรับว่าต้นทุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยลูกค้าจะเป็นผู้รับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว

ส่วนกรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร มีคำสั่งเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ประกอบการถ่านหินทั้งหมดในจังหวัดสมุทรสาครหยุดดำเนินกิจการชั่วคราวนั้น บริษัทเตรียมที่จะยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งดังกล่าว หลังจากโรงงานที่จังหวัดสมุทรสาครยังไม่สามารถกลับมาเปิดดำเนินกิจการได้

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อบริษัทน้อยมาก เนื่องจากบริษัทยังมีโรงงานและคลังสินค้าอีก 3 แห่ง ที่จังหวัดเพชรบุรี ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา ที่สามารถจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าได้ตามปกติ และยอมรับว่า ได้มีการปรับเพิ่มราคาสินค้าขึ้นเฉลี่ยประมาณ 1% เนื่องจากต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มขึ้น

"ตอนนี้ โรงงานที่สมุทนสาครยังไม่เปิด เรากำลังยื่นอุทธรณ์ แต่ภาพรวมไม่มีผลอะไรกับเรา ยอดขายอะไรก็ไม่มีผล เพราะว่าเราก็เอาจากแหล่งอื่นมาแทน ส่วนที่แกนนำถูกยิงก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย คนในพื้นที่เล่นการเมืองกัน ของเราโรงงานใหม่เพิ่งจะตอกเข็ม เพราะฉะนั้นเราไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย"

สำหรับแนวโน้มธุรกิจช่วงไตรมาส 4/2554 เชื่อว่าจะเป็นช่วงพีคของธุรกิจถ่านหิน ทั้งในส่วนของวอลุ่มและราคาขาย เป็นผลมาจากความต้องการใช้ถ่านหินที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในจีน ที่จะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะเดียวกันโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นก็เตรียมกลับมาเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้ตามปกติหลังจากที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เชื่อว่าทิศทางราคาถ่านหินในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอีก สาเหตุส่วนใหญ่มาจากความต้องการในจีนที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยจีนถือว่าเป็นผู้ใช้ถ่านหินรายใหญ่ของโลก

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมียอดขายถ่านหินเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดได้ส่งออกถ่านหินไปจีน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าอินเดียและญี่ปุ่น คาดว่าจะได้ข้อสรุปในส่วนของลูกค้าอินเดียภายในสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า และคาดว่าจะสามารถส่งออกถ่านหินได้ภายในไตรมาส 1/2555

"ยอมรับว่า การขยายตลาดส่งออกถ่านหินของบริษัท ต้องขึ้นอยู่กับซัพพลายด้วย โดยขณะนี้ได้แต่งตั้งธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) เพื่อร่วมดำเนินการเจรจาโครงการร่วมทุนกับเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย 2-3 เหมือง คาดว่าปีนี้บริษัทจะสามารถเจรจาสำเร็จได้อย่างน้อย 1 เหมือง"

โดยทั้ง 2 ธนาคารได้รับแต่งตั้งเป็น FA และให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน ลักษณะของสินเชื่อ ช่วยให้บริษัทมีความมั่นคงเรื่องเงินทุน ถือว่ามีความพร้อมที่จะลงทุนได้ทันทีหากการเจรจาสำเร็จ สำหรับเหมืองที่อยู่ระหว่างดำเนินการเจรจา ส่วนใหญ่เป็นเหมืองขนาดกลางและขนาดเล็ก

ด้านนายชัยวัฒน์ เครือชะเอม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) หรือ UMS มองว่า การหยุดประกอบกิจการโรงงานและคลังถ่านหินที่ อำเภอสวนส้ม น่าจะเป็นแค่มาตรการชั่วคราว ตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัด และภายว่าในสัปดาห์นี้ ทางผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะ จะเข้ามาตรวจสอบโรงงานของบริษัทอย่างเป็นทางการ ซึ่งบริษัทหวังว่าจะสามารถกลับมาประกอบกิจการได้ในเร็วๆ นี้

"ทางผู้ว่าฯจะเข้ามาตรวจสอบที่โรงงานในสัปดาห์นี้ คิดว่าปัญหาน่าจะจบ เพราะเราก็ไม่ได้ผิดอะไร ชาวบ้านรอบโรงงานก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่คำสั่งสั่งปิดไปเลยทุกโรงงาน มันก็ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ เพราะที่เราทำงานใบอนุญาตเราก็มีทุกใบ และเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เราทำธุรกิจตรงไปตรงมา เชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพียงแต่ว่าคำสั่งผู้ว่าฯ ที่ปิดครั้งนี้ ทางจังหวัดอาจจะยังไม่ได้เข้ามาดูให้ชัดเจนก่อน ซึ่งอาทิตย์นี้ทางจังหวัดจะเข้ามาดูก็คงจะเห็นภาพชัดขึ้น"

อย่างไรก็ตาม การที่โรงงานสมุทรสาครต้องหยุดดำเนินกิจการชั่วคราวนั้น ขณะนี้ไม่กระทบต่อกำลังการผลิตในภาพรวม เพราะบริษัทได้มีการย้ายสายการผลิตจากสุมทรสาครไปที่โรงงานและคลังสินค้าที่ จังหวัดอยุธยาแทน แม้ว่าจะทำให้ต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มขึ้นบ้าง และทำให้ต้องมีการปรับเพิ่มราคาขายขึ้นเล็กน้อย แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เข้าใจ โดยยังคงมั่นใจว่า รายได้รวมปี 54 (ตุลาคม 2554 ถึงกันยายน 2554) จะเติบโตตามเป้าที่ 20% จากปีก่อนที่ทำมีรายได้ 2.1 พันล้านบาท

ส่วนกรณีที่นายทองนาค เสวกจินดา หนึ่งในแกนนำต่อต้านโรงงานถ่านหินในพื้นที่ ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง เสียชีวิตนั้น ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท เพราะอยู่คนละพื้นที่กัน โดยคลังสินค้าของบริษัทตั้งอยู่ที่ ตำบลชัยมงคล และท่าเรืออยู่ที่ตำบลสวนส้ม

"เรื่องที่มีแกนนำถูกยิง ไม่เกี่ยวกับเราอยู่แล้ว อยู่คนละพื้นที่กัน ส่วนจะทำให้ปัญหาลุกลามหรือล่าช้าออกไปอีกไหม ก็ขึ้นอยู่กับทางเจ้าหน้าที่" นายชัยวัฒน์ กล่าวสรุปทิ้งท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น