xs
xsm
sm
md
lg

บิ๊กคลังลั่นแบกหนี้ไหว มั่นใจไม่เกิน 47% เล็งกู้นอกโปะหากไม่พอ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลังมั่นใจรับมือนโยบายประชานิยมปูแดงไหวระบุในระยะ 3-4 ปีนี้ หนี้สาธารณะพุ่งไม่เกิน 47% ของจีดีพีแน่นอน พร้อมรับมือบริหารจัดการไม่ให้เกิน 60% ตามกรอบความยั่งยืนทางการคลัง เตรียมรื้อแผนก่อหนี้ใหม่รับงบปี 55 เล็งกู้นอกหากเงินลงทุนไม่พอตามนโยบายรัฐบาลใหม่

นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ในส่วนของการก่อหนี้นั้นตามกรอบความยั่งยืนทางการคลังรัฐบาลสามารถก่อหนี้ได้ไม่เกิน 60% ของจีดีพี จากปัจจุบันอยู่ที่ 41% โดยมองว่าในระยะ 3-4 ปีนี้ แม้จะมีการใช้เงินในโครงการต่างๆ เพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลก็จะก่อหนี้เพิ่มอีกไม่เกิน 46-47% ของจีดีพี คงไม่ถึง 55% หรือ 60% อย่างที่หลายฝ่ายเป็นห่วงเพราะเท่าที่ดูขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในการใช้เงินในโครงการใหญ่ๆ มากนัก

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการชำระหนี้คืนในแต่ละปีงบประมาณมากกว่า เพราะต้องมีสัดส่วนไม่เกิน 15% ของวงเงินรายจ่ายเพื่อไม่ให้ไปเบียดงบลงทุน โดยขณะนี้มีสัดส่วนที่ 12-13% ปีล่าสุดมีวงเงินที่ 2.9 แสนล้านบาท

“จากที่กระทรวงการคลังจัดทำตัวเลขงบประมาณรายจ่ายในระยะ 5 ปี หรือถึงปี 2558 เดิมและตั้งเป้าหมายจะจัดทำงบสมดุล และลดการขาดดุลลงนั้นพบว่าตัวเลขหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะขึ้นไปสูงสุดที่ 48-49% เท่านั้นซึ่งไม่กระทบวินัยทางการคลังและจะไม่น่าเป็นห่วงเหมือนประเทศยุโรปที่ปัญหาเรื่องหนี้สาธารณะสูง” นายจักรกฤศฎิ์ กล่าว

ส่วนของแผนก่อหนี้ประจำปีนั้น ก็น่าจะมีการทบทวนใหม่ หลังจากมีรัฐบาลเพราะหากมีบางโครงการที่จำเป็นต้องเริ่มในปีงบประมาณ 2555 แต่วงเงินมีจำกัดก็อาจจะนำมาบรรจุในแผนก่อหนี้แทน ซึ่งปกติก็จะทบทวนทุก 3 เดือนอยู่แล้วและที่ผ่านมาจะปรับลดลงเรื่อยๆ เพราะส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน โดยส่วนนี้จะรวมถึงการกู้เงินจากต่างประเทศด้วย หลังจากที่ผ่านมาไทยไม่ได้ใช้เงินกู้ต่างประเทศมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะสภาพคล่องในประเทศมีเพียงพอ

ส่วนการกู้เงินชดเชยขาดดุลตามงบประมาณปี 2554 ขณะนี้กู้ไปแล้วเพียง 1.4 แสนล้านบาท จากที่กำหนดไว้เดิม 4.2 แสนล้านและลดลงมาเหลือ 3.7 แสนล้าน แต่ในความเป็นจริงอาจไม่จำเป็นต้องกู้เต็มเพดานขาดดุลขึ้นอยู่กับความต้องการใช้เงินในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้และไตรมาสแรกของปีหน้าและการบริหารเงินคงคลังให้เหมาะสม ซึ่งขณะนี้มีสูงถึง 3 แสนล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น