"ทิโมธี ไกธ์เนอร์" มั่นใจ สหรัฐฯ ไม่ผิดนัดชำระหนี้ ชี้ การเพิ่มเพดานหนี้กลายเป็นประเด็นการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ เตือนหากสภาคองเกรสไม่ปรับเพิ่มเพดานหนี้ได้ก่อนกำหนดเส้นตาย 2 ส.ค.นี้ วันที่ 2 ส.ค.นี้ ก็จะส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินทั่วโลกอีกครั้ง
นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงความเห็นกับสำนักข่าวต่างประเทศ โดยเชื่อมั่นว่า สหรัฐฯ จะไม่เผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ หลังกระแสข่าวรัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องแผนการปรับเพิ่มเพดานหนี้ก่อนวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ซึ่งเป็นวันที่สหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ พร้อมกับเรียกร้องให้สภาคองเกรส เร่งอนุมัติการปรับเพิ่มเพดานหนี้
ทั้งนี้ กำหนดเส้นตายในวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ซึ่งมองกันว่าเป็นวันที่สหรัฐฯ มีความเสี่ยงจะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ กำลังใกล้เข้ามา แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐยังคงต่อรองกันเรื่องข้อตกลงการปรับเพิ่มเพดานหนี้ รวมทั้งการปรับลดยอดขาดดุลงบประมาณ
นายไกธ์เนอร์ ยืนยันว่า ตนเองไม่เคยมีความคิดว่า สหรัฐฯ จะชำระหนี้ไม่ตรงเวลา เรื่องนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน" ไกธ์เนอร์กล่าวให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็น ซึ่งตนเองตระหนักว่า การตัดสินใจปรับเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ จะช่วยให้หลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ได้นั้น ได้กลายมาเป็นประเด็นทางการเมืองแล้ว
"ผมพูดตรงๆ ว่า พรรครีพับลิกันดำเนินการเรื่องนี้ช้าเกินไป สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่า เราจะต้องขจัดการคุกคามที่จะทำให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ออกไปจากประเทศของเราให้ได้ภายใน 18 เดือนข้างหน้านี้ และต้องเอาประเด็นการเมืองออกไปจากเรื่องนี้ให้ได้"
ขณะที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา และนายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยังคงเจรจาเรื่องการปรับเพิ่มเพดานหนี้ พร้อมกับกล่าวว่า มีสัญญาณบ่งชี้ว่าทั้งสองฝ่ายกำลังใกล้จะบรรลุข้อตกลง แต่เขาย้ำว่าการดำเนินการในขั้นตอนทางกฎหมายจำเป็นจะต้องเริ่มต้นขึ้นในคืนวันจันทร์
ทั้งนี้ สหรัฐฯ มียอดเงินกู้ชนเพดานหนี้ที่ระดับ 14.29 ล้านล้านดอลลาร์ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา โดยกระทรวงคลังสหรัฐระบุว่า สหรัฐฯ อาจเริ่มเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการปรับเพิ่มเพดานหนี้ได้ทันก่อนกำหนดเส้นตายในวันที่ 2 สิงหาคม 2554 นี้
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่า หากสภาคองเกรสไม่ปรับเพิ่มเพดานหนี้ได้ก่อนกำหนดวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ก็จะส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินทั่วโลกอีกครั้ง
