AREA เผยผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยครึ่งปีแรก 54 พบ 17,750 หน่วยมูลค่ากว่า 42,724 ล้านบาทหยุดขาย ในจำนวนนี้ 30 โครงการเจ๊งแน่ๆ ในขณะที่จำนวนโครงการเปิดใหม่ 233 โครงการ คาดทั้งปี 1.08 แสนหน่วย ส่งผลสินค้าเหลือขายในตลาด 135,598 หน่วย คาดปี 55 จะมีสินค้าเพิ่มอีกกว่า 1 แสนหน่วย หวั่นปี 56 เกิดฟองสบู่แน่หากไม่ชะลอเปิดโครงการใหม่
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด เปิดเผยผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 พบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยที่ยังขายอยู่ในเขตกทม.และปริมณฑล1,317 โครงการ 135,598 หน่วย โดยมี 955 โครงการที่มีหน่วยเหลือขายเกิน 20 หน่วย
จากการสำรวจพบประเด็นที่น่าสนใจ คือ โครงการหยุดขาย ณ สิ้นปี 2553 มีจำนวน 66 โครงการ จำนวน 14,420 หน่วย รวมมูลค่า 34,442 ล้านบาท แต่ ณ กลางปี 2554 เพิ่มจำนวนเป็น 78 โครงการ จำนวน 17,750 หน่วย รวมมูลค่า 42,724 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่า ครึ่งปีแรก 2554 มีโครงการหยุดขาย 12 โครงการ 3,330 หน่วย เพิ่มขึ้น 23% และมูลค่าที่หยุดขายเพิ่ม 8,282 ล้านบาทหรือ 24%
สำหรับสาเหตุของการหยุดขายคือ 1. สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ 23 โครงการ 29%, 2. ขายไม่ออก/ไม่มีคนซื้อ/รูปแบบสินค้าไม่เหมาะ 21 โครงการ 27%, 3. ไม่ผ่าน EIA 10 โครงการ 13%, 4. รอปรับราคาขายใหม่ 10 โครงการ 13%, 5. เปลี่ยนรูปแบบโครงการ 5 โครงการ 6%, 6.ทำเลห่างไกล 6 โครงการ 8% และ 7. มีปัญหากรรมสิทธิ์ที่ดินและทางเข้าออก 3 โครงการ 4%
“โครงการที่หยุดขาย 78 โครงการ ในจำนวนนี้มี 30 โครงการ เจ๊งคาที่ เพราะจากการเข้าสำรวจในรอบ 2 ปี ๆ ละ 2 ครั้งยังไม่มีวีแววว่าจะเปิดขายได้ และบางโครงการพบว่าผู้ประกอบการเปิดขายทั้งๆที่ยังไม่ได้ซื้อที่ดินทำให้เกิดปัญหาในภายหลัง”
นอกจากนี้ยังพบว่า ครึ่งปีแรกมีโครงการเปิดใหม่ 233 โครงการ 54,401 หน่วย รวมมูลค่า 161,818 ล้านบาท คาดว่าทั้งปีจะมีจำนวนหน่วยเปิดใหม่ 108,298 หน่วย มูลค่ากว่า 319,343 ล้านบาท เทียบกับปี 53 ทั้งปีมีโครงการเปิดใหม่ 448 โครงการ 116,791 หน่วย มูลค่า 319,343 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีกว่า 52% ขายไม่เกิน 2 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม 38% ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมดเป็นที่อยู่อาศัยที่ราคา5 ล้านบาท ขึ้นไปทำให้ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.949 ล้านบาทต่อหน่วย ขณะที่ปีก่อนหน้าราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.587 ล้านบาท
หากพิจารณาถึงยอดซื้อของโครงการที่อยู่อาศัยในครึ่งแรกของปีนี้จะพบว่ามีจำนวน 48,825 หน่วย เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกปี 2553 และหากประมาณการทั้งปี 2554 จะมีจำนวน 97,650 หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบยอดขายทั้งปี 2553 กรณีนี้แสดงถึงภาวะ‘ซื้อง่าย-ขายคล่อง’ ของตลาดที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าวิตกก็คือ การซื้อขายในยุคหลัง ๆ เป็นการซื้อขายเก็งกำไรมากขึ้น
3ปีสินค้าทะลัก3.3แสนหน่วย
สำหรับปี 2555 จะมีที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ประมาณ 100,000 หน่วยเช่นกัน ทำให้ในรอบ 3 ปีล่าสุด (2553-2555) จะมีหน่วยเปิดใหม่รวมกันถึง 330,000 หน่วย หรือประมาณ 7.2% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมด 4.56 ล้านหน่วย ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ณ ปี 2555 เมื่อโครงการต่าง ๆ ทยอยแล้วเสร็จในเวลาต่อมา จึงคาดว่า ณ ปี 2556 ตลาดจะเกิดภาวะ ‘ฟองสบู่แตก’ เพราะการสะสมของอุปทานที่มากเกินพอดี
ปัจจุบันสินค้าเหลือขายในตลาดมีอยู่ ณ กลางปี 2554 มีทั้งหมด 135,598 หน่วยหรือประมาณ 3% ของหน่วยที่อยู่อาศัยทั้งหมด 4.45 หน่วยในเขตกทม.และปริมณฑลซึ่งยังถือว่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับช่วงปี 2540 ที่มีสัดส่วนสูงถึง 5% อย่างไรก็ตามอัตราส่วนนี้เพิ่มขึ้นโดยตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นดัชนีที่ชี้ให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยกำลังเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวและอาจเกิดวิกฤติ ‘ฟองสบู่แตก’ ในปี 2556 ได้
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด เปิดเผยผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 พบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยที่ยังขายอยู่ในเขตกทม.และปริมณฑล1,317 โครงการ 135,598 หน่วย โดยมี 955 โครงการที่มีหน่วยเหลือขายเกิน 20 หน่วย
จากการสำรวจพบประเด็นที่น่าสนใจ คือ โครงการหยุดขาย ณ สิ้นปี 2553 มีจำนวน 66 โครงการ จำนวน 14,420 หน่วย รวมมูลค่า 34,442 ล้านบาท แต่ ณ กลางปี 2554 เพิ่มจำนวนเป็น 78 โครงการ จำนวน 17,750 หน่วย รวมมูลค่า 42,724 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่า ครึ่งปีแรก 2554 มีโครงการหยุดขาย 12 โครงการ 3,330 หน่วย เพิ่มขึ้น 23% และมูลค่าที่หยุดขายเพิ่ม 8,282 ล้านบาทหรือ 24%
สำหรับสาเหตุของการหยุดขายคือ 1. สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ 23 โครงการ 29%, 2. ขายไม่ออก/ไม่มีคนซื้อ/รูปแบบสินค้าไม่เหมาะ 21 โครงการ 27%, 3. ไม่ผ่าน EIA 10 โครงการ 13%, 4. รอปรับราคาขายใหม่ 10 โครงการ 13%, 5. เปลี่ยนรูปแบบโครงการ 5 โครงการ 6%, 6.ทำเลห่างไกล 6 โครงการ 8% และ 7. มีปัญหากรรมสิทธิ์ที่ดินและทางเข้าออก 3 โครงการ 4%
“โครงการที่หยุดขาย 78 โครงการ ในจำนวนนี้มี 30 โครงการ เจ๊งคาที่ เพราะจากการเข้าสำรวจในรอบ 2 ปี ๆ ละ 2 ครั้งยังไม่มีวีแววว่าจะเปิดขายได้ และบางโครงการพบว่าผู้ประกอบการเปิดขายทั้งๆที่ยังไม่ได้ซื้อที่ดินทำให้เกิดปัญหาในภายหลัง”
นอกจากนี้ยังพบว่า ครึ่งปีแรกมีโครงการเปิดใหม่ 233 โครงการ 54,401 หน่วย รวมมูลค่า 161,818 ล้านบาท คาดว่าทั้งปีจะมีจำนวนหน่วยเปิดใหม่ 108,298 หน่วย มูลค่ากว่า 319,343 ล้านบาท เทียบกับปี 53 ทั้งปีมีโครงการเปิดใหม่ 448 โครงการ 116,791 หน่วย มูลค่า 319,343 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีกว่า 52% ขายไม่เกิน 2 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม 38% ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมดเป็นที่อยู่อาศัยที่ราคา5 ล้านบาท ขึ้นไปทำให้ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.949 ล้านบาทต่อหน่วย ขณะที่ปีก่อนหน้าราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.587 ล้านบาท
หากพิจารณาถึงยอดซื้อของโครงการที่อยู่อาศัยในครึ่งแรกของปีนี้จะพบว่ามีจำนวน 48,825 หน่วย เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกปี 2553 และหากประมาณการทั้งปี 2554 จะมีจำนวน 97,650 หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบยอดขายทั้งปี 2553 กรณีนี้แสดงถึงภาวะ‘ซื้อง่าย-ขายคล่อง’ ของตลาดที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าวิตกก็คือ การซื้อขายในยุคหลัง ๆ เป็นการซื้อขายเก็งกำไรมากขึ้น
3ปีสินค้าทะลัก3.3แสนหน่วย
สำหรับปี 2555 จะมีที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ประมาณ 100,000 หน่วยเช่นกัน ทำให้ในรอบ 3 ปีล่าสุด (2553-2555) จะมีหน่วยเปิดใหม่รวมกันถึง 330,000 หน่วย หรือประมาณ 7.2% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมด 4.56 ล้านหน่วย ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ณ ปี 2555 เมื่อโครงการต่าง ๆ ทยอยแล้วเสร็จในเวลาต่อมา จึงคาดว่า ณ ปี 2556 ตลาดจะเกิดภาวะ ‘ฟองสบู่แตก’ เพราะการสะสมของอุปทานที่มากเกินพอดี
ปัจจุบันสินค้าเหลือขายในตลาดมีอยู่ ณ กลางปี 2554 มีทั้งหมด 135,598 หน่วยหรือประมาณ 3% ของหน่วยที่อยู่อาศัยทั้งหมด 4.45 หน่วยในเขตกทม.และปริมณฑลซึ่งยังถือว่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับช่วงปี 2540 ที่มีสัดส่วนสูงถึง 5% อย่างไรก็ตามอัตราส่วนนี้เพิ่มขึ้นโดยตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นดัชนีที่ชี้ให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยกำลังเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวและอาจเกิดวิกฤติ ‘ฟองสบู่แตก’ ในปี 2556 ได้