“อลงกรณ์” เรียกร้อง “พรรคเพื่อไทย-ว่าที่นายกฯ” หยุดชี้นำค่าเงิน หวั่นกระทบส่งออก และเกิดการเก็งกำไร แต่หากจะพูดถึงก็ควรให้มีการตั้งรัฐบาลเสียก่อน พร้อมแนะให้บริหารเงินบาทให้สอดคล้องกับตลาดในภูมิภาค เพื่อไม่ให้กระทบภาคส่งออก ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 80% ของจีดีพี
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยกับสื่อมวลชนภาหลังการเป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้า เมดอินไทยแลนด์ 2554 ครั้งที่ 24 ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งทางกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ และผู้ประกอบการภาคเอกชน ร่วมกันจัดขึ้น โดยฝากเรียกร้องไปถึง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี และทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย หยุดส่งสัญญาณชี้นำทิศทางอัตราแลกเปลี่ยน เพราะอาจส่งผลต่อการเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน
ทั้งนี้ หากจะมีการพูดถึงเรื่องดังกล่าว ก็ควรประกาศหลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาล และประกาศนโยบายการบริหารเรียบร้อยเสียก่อน พร้อมกับเห็นว่า รัฐบาลชุดใหม่ควรบริหารค่าเงินให้สอดคล้องกับภูมิภาค เพื่อจะได้ไม่กระทบต่อภาคส่งออกที่มีมูลค่ากว่า 70-80% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
รมช.พาณิชย์ กล่าวเสริมว่า ค่าเงินเป็นเรื่องละเอียดอ่อน พรรคเพื่อไทยจึงไม่ควรจะส่งสัญญาณใดๆ ก่อนได้รับการแต่งตั้ง เพราะจะก่อให้เกิดการเก็งกำไรค่าเงิน และทำให้เงินบาทยิ่งแข็งตัว อาจทำให้เกิดการคาดการณ์ผิดๆ ตนเองจึงขอให้ตั้งรัฐบาลเรียกร้อยเสียก่อน หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของรัฐบาล ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ได้ตั้งเป้าการส่งออกในปีนี้ โดยคาดว่าจะขยายตัวไม่น้อยกว่า 15% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
สำหรับรายละเอียดงานแสดงสินค้าเมดอินไทยแลนด์ ครั้งที่ 24 จะเริ่มจากวันที่ 13-17 กรกฎาคม 2554 นี้ โดยมั่นใจว่า การจัดงานดังกล่าว จะสามารถแสดงศักยภาพการผลิตสินค้าไทย ของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs) ให้เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ทั้งในด้านภาพลักษณ์ และคุณภาพของสินค้าไทย เพื่อให้ลูกค้าจากทั่วโลกได้รู้จัดมากขึ้น
โดยจากการจัดงานดังกล่าว คาดว่า จะมีผู้เข้าร่วมงานทั้งไทยและต่างประเทศ ไม่ต่ำกว่า 100,000 คน และมียอดคำสั่งซื้อสินค้าภายในงาน ไม่ต่ำกว่า 80 ล้านบาท จากร้านค้ากว่า 830 คูหา 342 บริษัท
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเสริมว่า การจัดงานครั้งนี้ เพื่อเผยแพร่ศักยภาพการผลิตสินค้าคุณภาพระดับส่งออกของประเทศไทยทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงธุรกิจบริการของผู้ประกอบการไทยที่มีชื่อเสียงให้เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ สร้างโอกาสให้แก่ผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศได้เข้ามาเจรจาธุรกิจ แสวงหาพันธมิตรทางการค้าและเสาะหาสินค้าคุณภาพสำหรับผู้บริโภคทั่วโลก
นอกจากนี้ การจัดงานครั้งนี้ยังเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์และศักยภาพของสินค้าไทย พร้อมกระตุ้นภาคการส่งออก รวมทั้งเศรษฐกิจและการหมุนเวียนเงินตราภายในประเทศ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการไทยที่จะแนะนำสินค้าและบริการคุณภาพเยี่ยมสู่ผู้บริโภคทั่วโลก
“ปัจจุบันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ที่ทำให้เกิดการจ้างงานเป็นสัดส่วนมากถึงร้อยละ 76 ของการจ้างงานทั่วประเทศ ดังนั้น การพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้มีความเข้มแข็งและสามารถทำธุรกิจด้านส่งออกได้จะก่อให้เกิดประโยชน์ด้านการเพิ่มมูลค่าการส่งออก นำรายได้เข้าสู่ประเทศ และการสร้างงานให้กับคนไทยทุกภูมิภาค”
สำหรับการจัดงานครั้งนี้ภายใต้แนวคิด “Export Opportunity for SMEs” และได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักธุรกิจนานาชาติ โดยมีคณะผู้แทนการค้าจากทั่วโลกมาร่วมเยี่ยมชมงาน มีร้านค้ากว่า 836 คูหา จาก 342 บริษัทคุณภาพของไทย ร่วมประชันความโดดเด่นของสินค้าคุณภาพกว่า 7 หมวดสินค้า อาทิ กลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ในบ้าน/ครัวเรือน และของตกแต่งบ้าน กลุ่มสินค้าแฟชั่น กลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มสินค้าธุรกิจบริการ สปา นวดแผนไทย และแฟรนไชส์ กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ บนเนื้อที่กว่า 27,000 ตารางเมตร คาดว่าตลอดทั้ง 5 วัน จะมีผู้เข้าร่วมชมงานจากทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 100,000 คน และคาดว่า จะมีรายได้และยอดการสั่งซื้อภายในงานกว่า 80 ล้านบาท