"เครือสหพัฒน์" โชว์ศักยภาพในงาน "สหกรุ๊ป แฟร์" ยกทัพสินค้าไทยเปิดตัวสู่ตลาดอาเซียน พร้อมเชิญ 14 บริษัทที่อยู่ใน ตลท. ให้ข้อมูลนักวิเคราะห์-นักลงทุน "ปธ.ไอซีซี" เข็นสินค้าจำเป็นกว่าพันรายการ จำหน่ายในราคาพิเศษ หวังแก้ปัญหาสินค้าแพง และบรรเทาภาระค่าครองชีพ ขณะที่บิ๊ก ส.อ.ท. แนะ รบ.ใหม่เร่งออกมาตรการด่วน ลดภาระค่าครองชีพ "บุณยสิทธิ์" ยันสินค้าในเครือไม่มีการขึ้นราคาครึ่งปีหลัง
นายบุญเกียรติ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการและประธาน กรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวภายหลังเปิดงาน สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 15 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยระบุว่า การจัดงานครั้งนี้มีผู้ค้าและผู้ซื้อจากต่างประเทศเข้าร่วมชมศักยภาพของบริษัทในเครือสหพัฒนพิบูลย์จำนวนกว่า 200 ราย โดยเปิดให้ผู้บริโภคได้เลือกสินค้าอุปโภค บริโภค ในราคาพิเศษ จำนวนกว่า 900 คูหา และกว่า 1,000 รายการ เพื่อบรรเทาปัญหาค่าครองชีพ และปัญหาสินค้าราคาแพง
นอกจากนี้ ผู้เข้าชมงานยังจะได้เห็นความพร้อมในการเตรียมสินค้าในเครือสหพัฒน์ เพื่อรองรับการเปิดเสรีการค้าอาเซียน อย่างเต็มรูปแบบในปี 2555 อย่างไรก็ตาม การจัดงานในครั้งนี้จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน 2554 ไปจนถึงวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นี้ โดยมั่นใจว่า จะมีผู้เข้าชมงานสุงถึง 1,000,000 ราย
สำหรับในช่วงบ่าย เครือสหพัฒน์จะพบกับนักลงทุนและนักวิเคราะห์โดยได้เชิญ 14 บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (ตลท.) มาให้ข้อมูลชี้แจงต่อนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศถึงทิศทางการค้าและการลงทุน รวมถึงกิจการของบริษัทเพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยด้วย
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เชื่อว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้นหลังจากการเลือกตั้ง โดยที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น แต่อยากจะให้รัฐบาลใหม่มาดูแลค่าแรงให้มีความเหมาะสมกับค่าครองชีพ สำหรับราคาของสินค้าของบริษัทในเครือยังไม่ขึ้นราคา
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนา อินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนทั้งประเทศกำลังวิตกกังวล ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร ถึงแม้ใครจะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลใน 2 พรรคการเมืองใหญ่ แต่อยากให้ทุกอย่างเดินหน้าและวางนโยบายในการบริหารประเทศได้อย่างราบรื่นและเป็นเอกฉันท์ ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่จะต้องเร่งเข้ามาช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะการลดค่าครองชีพให้กับประชาชน เพราะแนวโน้มราคาสินค้ายังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอีก
นอกจากนี้ ยังต้องดูแลในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อไม่ให้สูงเกินกว่าร้อยละ 4 โดยเชื่อว่าปัจจัยบวกในประเทศเศรษฐกิจไทยยังมีอัตราการเติบโตได้ดีอยู่ การส่งออกไม่น่าเป็นห่วง เพราะเห็นได้จากในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาการส่งออกของไทยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังมองว่าในปีนี้การส่งออกของไทยยังจะขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติเริ่มมีกำลังการผลิตและมีคำสั่งซื้อจากหลายกลุ่มสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจอยู่แต่ส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยในต่างประเทศทั้งราคาน้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยน การแก้ไขปัญหาหนี้ในกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) รวมถึงปัญหาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐ และญี่ปุ่น ดังนั้น หากสถานการณ์ทางการเมืองยังคงเกิดขึ้นสิ่งที่กระทบ คือ ธุรกิจบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยว รวมทั้งสิ่งที่ภาคอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี กำลังวิตกกังวล คือ การปรับราคาแก๊สแอลพีจี ที่จะเริ่มปรับในเดือนกรกฎาคม 2554 นี้