xs
xsm
sm
md
lg

“คิดบวก” แบบซีอีโอระดับหมื่นล้าน!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะได้มีโอกาสเข้าไปขุดคุ้ยความคิดนักธุรกิจระดับต้นๆ ของประเทศ แต่วันนี้ “บุญเกียรติ โชควัฒนา” กลับกรุยทางให้ M-Lite เข้าไปล้วงเอาเคล็ดวิชาในตัวออกมาอย่างง่ายดาย พร้อมเสนอวิธีคิดที่ยืนยันมาแล้วว่าช่วยให้ประสบความสำเร็จจริง เช่นเดียวกับตำแหน่งผู้บริหารเครือสหพัฒน์ ธุรกิจใหญ่ยักษ์ระดับหมื่นล้านที่เขารับผิดชอบอยู่ในขณะนี้

“คิดบวก” เป็นคำที่ได้ยินจนเกลื่อนหูในระยะหลังๆ มานี้ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าออกมาป่าวประกาศและท้าทายให้ทุกคนลุกขึ้นมาปฏิบัติจริง อย่างที่ผู้ชายคนนี้ยอมเอาชื่อเสียงในฐานะนักบริหารมือโปรเป็นประกัน เขียนหนังสือ “ท้าให้คิด ท้าให้เชื่อ” เพียงเพื่อให้คนอื่นๆ ลองหันมาเปิดใจกับวิธีคิดที่เขายืนยันว่าดีจริง


โลกมืดๆ ของคนคิดมาก
“ตอนแรกที่ยังไม่ได้คิดบวก รู้สึกเลยว่าชีวิตมันไม่ค่อยมีความเจริญก้าวหน้ามากมาย เวลาคิดลบ ชีวิตจะไม่ค่อยมีความสุข แต่พอเราคิดบวก ไม่ใช่แค่ตัวเราเองมีความสุขนะ คนรอบข้างก็มีด้วย” บุญเกียรติ โชควัฒนา ผู้บริหารบริษัท ไอ.ซี.ซี. เครือสหพัฒน์ เริ่มบทสนทนา ก่อนเปิดใจให้ฟังว่าเขาก็เคยเป็นคนคิดลบมาก่อนเหมือนกัน
 

“ตอนเด็กๆ ผมก็เคยคิดลบมาก่อน แต่คนที่ทำให้ผมเริ่มอยากคิดบวกคือคุณพ่อ (ดร.เทียม โชควัฒนา) ท่านเป็นคนช่างคิด แต่ไม่ใช่คนคิดมาก ตรงนี้ต่างกันนะ (ยิ้ม) คุณพ่อจะเตือนผมเสมอว่าอย่าเป็นคนคิดมาก เพราะการคิดมากคือคนที่คิดหลายสิ่งหลายอย่างในหัว และส่วนมากเป็นเรื่องลบๆ ซึ่งแต่ก่อนผมเป็นแบบนั้น คุณพ่อก็จะเตือนเสมอว่าอยากให้ลองเปลี่ยนจากคิดมากมาเป็นคนช่างคิดแทน เพราะคนช่างคิดคือคนที่คิดไปในทางสร้างสรรค์ คิดอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง”
 

“แต่ผมก็ไม่ได้เปลี่ยนตัวเองทันทีนะ แค่ลองกลับมาคิดพิจารณาที่คุณพ่อพูด ได้เห็นตัวอย่างว่าท่านเป็นคนที่คิดถึงคนอื่น คิดถึงสังคมตลอดเวลา เริ่มมองเห็นว่ามันมีข้อดียังไง จากนั้นผมเลยค่อยๆ ลองเปลี่ยนตัวเองดู จากที่เคยคิดมาก คิดลบ ก็ลองหันมาทบทวนตัวเอง พอเปลี่ยนตัวเองเป็นคนคิดบวกได้ มันก็ทำให้เห็นข้อเปรียบเทียบชัดมากเหมือนกัน เห็นเลยว่าการคิดบวกมันดีกว่าการคิดลบยังไง พอคิดบวกมันทำให้เราได้คิดไปข้างหน้าเรื่อยๆ พัฒนาไปไม่หยุด แล้วก็ทำให้กลายเป็นคนที่มีโครงการดีๆ มากมายในหัวที่อยากทำ
 

ทุกวันนี้ ผู้บริหารวัย 64 รายนี้ก็ไม่ได้เก็บงำวิธีคิดบวกเอาไว้เพียงผู้เดียว แต่พยายามเผื่อแผ่ให้แก่คนรอบข้างด้วย ไม่เว้นแม้แต่พนักงานในองค์กรของเขาเอง
 
“พอทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีพอสมควรแล้ว ผมก็ลองสอนคนอื่นดู ตอนนี้ก็สอนมาได้เป็นสิบๆ ปีแล้ว และที่ผ่านมาคนที่ทำตามก็เปลี่ยนความคิดได้เยอะเหมือนกันนะ (ยิ้ม) เหมือนกับพอเขารู้ว่าเราเข้าหาเขาด้วยความหวังดี เขาก็เปิดใจรับฟังและทำตาม สุดท้ายก็เปลี่ยนความคิดจากลบเป็นบวกได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใช้ได้กับทุกคนนะ เพราะบางคนเป็นคนคิดลบมากๆ ต่อให้พยายามบอกเท่าไหร่ เขาก็ยังคิดลบอยู่ดี เรื่องแบบนี้ต้องให้คนคนนั้นเข้าใจความคิดตัวเองก่อนด้วย การเข้าไปช่วยเปลี่ยนความคิดเขา เป็นแค่วิธีช่วยเสริมแค่นั้นเอง”


คุณกำลัง “นึก” หรือ “คิด”?
พูดว่าให้เปลี่ยนวิธีคิด ดูเป็นคำแนะนำที่เป็นนามธรรม เข้าใจยากไปเสียหน่อย ลองให้ผู้มีประสบการณ์ช่วยขยายความดู จึงได้รู้เคล็ดลับเล็กๆ ว่า การจะเปลี่ยนวิธีคิดให้ได้ผล ต้องแยกให้ออกเสียก่อนว่า “คิด” กับ “นึก” ต่างกันอย่างไร
 

อย่างเด็กวัยรุ่นสมัยนี้จะไม่ค่อยชอบคิด ไม่ชอบทบทวนตัวเองกัน แต่พวกเขาจะชอบนึกว่าตัวเองกำลังคิดนู่นนี่อยู่ในหัวตลอด ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ เขาแค่นึกวนเวียนอยู่กับข้อมูลที่รับมา ทั้งอินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ก ทีวี ฯลฯ ข้อมูลมันเยอะแยะไปหมด คนสมัยนี้เลยแยกไม่ค่อยออกว่า “คิด” กับ “นึก” มันต่างกันยังไง"
"คำว่า “นึก” เนี่ยคือการเอาเรื่องที่ได้เห็นได้ยิน เรื่องที่เรารับจากคนอื่นมา เอามานึกถึงอีกที หรือที่เรียกว่า “Recall” นั่นแหละ แต่คำว่า “คิด” คือ “Think” เกิดจากการเอาสิ่งที่มีอยู่มาผลิตเป็นข้อมูลใหม่ๆ ขึ้นมาในหัวของเรา คิดอย่างมีวัตถุประสงค์และเอาไปใช้ประโยชน์ได้ พอแยกสองสิ่งนี้ออกจากกันได้ ก็ลองพิจารณาความคิดตัวเองดู แล้วจะรู้ว่าคิดแบบไหนที่เรียกว่าบวกหรือลบเอง”
 

หลายคนในสังคมยังคงมองโลกในแง่ร้าย สาเหตุหนึ่งมาจากการรับเอาข้อมูลลบๆ เข้าไปในหัวทุกวัน และไม่รู้จักกลับมาทบทวนความคิดตัวเองเพื่อคัดกรองมุมมองลบๆ ออกไป จึงทำให้เหลือคนคิดบวกจริงๆ ในสังคมน้อยลงไปทุกทีๆ
 
“พอปล่อยให้ตัวเองรับรู้ข้อมูลลบๆ บ่อยเข้าก็กลายเป็นคนคิดลบไปโดยอัตโนมัติ บางคนอยู่มาเป็นสิบๆ ปี ไม่เคยลองทบทวนตัวเองเลยก็มี แต่ผมจะพยายามทบทวนตัวเองทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง เพราะไม่ใช่ว่าทบทวนแค่ครั้งเดียวจะใช้ได้นะ ต้องทบทวนแล้วทบทวนอีกอยู่อย่างนั้นแหละ จนเกิดคำตอบว่าคิดบวกแล้วมันดีจริงๆ แต่ในทางกลับกันถ้าคิดลบ จะทำให้มองเห็นแต่เรื่องร้ายๆ มองไม่เห็นทางเจริญ ทำให้ไม่มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต”


ไม่ได้หลอกตัวเอง
“ลองเปรียบเทียบดูว่าตอนที่เราคิดลบ จิตใจเราเป็นยังไง แล้วตอนเราคิดบวกล่ะ ต่างกันยังไง ถ้าลองทำดูจะรู้เลยว่าเวลาเราคิดบวกแล้วจิตใจเราสบ๊ายสบาย แต่เวลาเรามองคนอื่นไม่ดี จิตใจเราก็ย่ำแย่ รู้สึกเป็นทุกข์” ซีอีโอมากประสบการณ์ยังคงอธิบายความรู้สึกจากการคิดบวกให้ฟัง
 
บางครั้งการมองโลกในแง่ดีก็ถูกมองว่าเป็นการเลือกมองแค่แง่ดี หลีกหนีจากด้านไม่ดีซึ่งมีอยู่ในความจริง จึงไม่ต่างอะไรจากการหลอกตัวเอง เมื่อถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไป จึงได้วิธีคิดที่ชัดเจนตอบกลับมา
 

“ไม่ได้หมายความว่าต่อไปนี้พอเห็นผู้ร้ายก็ต้องมองว่าเป็นคนดี มันไม่ใช่ ถ้าเรารู้ว่าคนนี้เป็นคนไม่ดี เราก็พูดกันตามความจริง เอ้อ! คนนี้ไม่ดีนะ การเห็นคนไม่ดีเป็นคนไม่ดี ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนคิดลบ แต่การคิดบวกคือเราจะคิดบวกกับคนไม่ดียังไงต่างหาก
 

“คนส่วนใหญ่จะแย้งว่า เฮ้ย! มันต้องมองตามความเป็นจริงนะ อย่าไปหลอกตัวเอง ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นความคิดที่ผิด การที่เรามองทุกอย่างในแง่ดีไว้ก่อน มองคนอื่นดีไว้ก่อน มันดีกว่าจะมองว่าคนอื่นเป็นคนไม่ดีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังหลอกตัวเอง"
"สมมติว่าเราเห็นผู้ชายคนหนึ่ง เราคิดว่าเขาเป็นผู้ร้าย เราจะปฏิบัติต่อเขายังไง ตรงกันข้าม ถ้าเราคิดว่าเขาเป็นคนดี เราจะทำยังไง (เว้นระยะให้คนฟังลองคิดตาม) ถ้าเราเป็นคนดี โอกาสที่เราจะเดินไปหาเขา มันก็มีมากกว่า แต่ถ้าเราคิดว่าเขาเป็นคนร้าย โอกาสที่จะเดินไปหาเขา มีไหม ทั้งๆ ที่ความจริงเรายังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นคนยังไง” ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอธิบายไปยิ้มไป ท่าทางเหมือนคุณครูใจดีที่กำลังสอนลูกศิษย์อย่างไรอย่างนั้น
 
“การคิดบวกกับคนไม่ดี คือการมองว่าเขามีโอกาสที่จะปรับปรุงตัวเป็นคนดีได้ ไม่ใช่ว่าเรามองเห็นคนไม่ดีเป็นคนดี แต่แค่คิดว่าเราจะให้โอกาสเขายังไง จะช่วยเขาให้ปรับปรุงตัวเป็นคนดียังไงได้บ้าง นี่แหละคือการคิดบวก” คุณครูเฉพาะกิจสรุปให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง


เชื่อคนง่ายแหละดี
“เชื่อคนง่ายไว้ก่อน” คือคำแนะนำสำคัญที่คุณบุญเกียรติอยากให้ทุกคนลองทำ เมื่อเปรียบเทียบกับคำสอนเก่าๆ ที่ผู้ใหญ่มักจะพร่ำสอนลูกหลานว่าอย่าเป็นคนเชื่อคนง่าย จึงถือเป็นเรื่องแปลกใหม่อยู่มากทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีคำอธิบายที่น่าเชื่อถือให้ได้ลองคิดตามเหมือนเดิม
 

“คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่าถ้าเชื่อคำพูดของคนอื่นง่ายๆ ก็กลายเป็นคนหูเบาสิ ซึ่งจริงๆ แล้วผมมีหลักที่ผมใช้มาตั้งนานแล้วและทำให้ชีวิตดีขึ้นมากๆ เลย คือถ้ามีใครมาบอกหรือสอนอะไรเรา ให้เราเชื่อไว้ก่อนเลย ถ้าเราลองพิจารณาดูแล้วว่าความเชื่อนั้นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ตัวเราเองไม่เดือดร้อน คนอื่นก็ไม่เดือดร้อน เรารับฟังและเชื่อไว้ก่อนดีกว่า ดีกว่าเห็นอะไรๆ ก็ไม่เชื่อ ไม่ฟัง ปิดการรับรู้ไปเสียหมด
 

ด้วยทัศนคติแบบนี้เอง ชวนให้ผู้สัมภาษณ์สงสัยว่าเขาไม่กลัวถูกคนอื่นหาว่าเป็นคนหูเบา เชื่อทุกอย่างง่ายๆ หรืออย่างไร คนถูกถามยิ้มรับด้วยรอยยิ้มสบายๆ และให้คำตอบที่ผ่อนคลายไม่แพ้กัน
 

“ถ้าเรากลัวคนหาว่าอย่างนู้นอย่างนี้ คงต้องกลัวกันไปทั้งปีแหละ เพราะวันๆ ก็มีแต่คนจะหาว่านั่นหาว่านี่ เป็นปกติของมนุษย์อยู่แล้ว ถ้าเรากลัวในสิ่งที่คนอื่นคิดกับเรา เราจะต้องกลัวไปถึงเมื่อไหร่ล่ะ มันไม่มีที่สิ้นสุดหรอกจริงไหม มีใครบ้างที่เกิดมาแล้วไม่ถูกคนอื่นหาว่าเป็นนั่นเป็นนี่... ไม่มีหรอก"
"เวลามีใครมาพูดถึงเราในแง่ไม่ดีเนี่ย ใครเดือดร้อน จริงๆ แล้วไม่มีใครเดือดร้อนนะ คนพูดไม่เดือดร้อน เราเองก็ไม่ได้เดือดร้อนจากคำพูดของเขานะ เพราะคำพูดของเขาทำอะไรเราไม่ได้หรอก แต่ถ้าเราเก็บเรื่องที่ฟังมาคิดน่ะสิ เราถึงเดือดร้อน รู้อย่างนี้แล้วทำไมเราถึงปล่อยให้ทุกคนมามีอิทธิพลต่อความสุขของเราล่ะ ดีที่สุดคือไม่ต้องใส่ใจ ถ้าเราเชื่อว่าเราทำดีแล้ว คิดอย่างนี้ก็ถือเป็นการคิดบวกอย่างหนึ่งเหมือนกัน
 

ยังมีความคิดอีกหลายอย่างที่คนในสังคมเชื่อฝังหัวกันแบบผิดๆ และคงจะดีไม่น้อย หากทุกคนลองลุกขึ้นมาทำลายความเชื่อลบๆ เหล่านั้นเสียที
 

“ในหัวของคนเรามีทั้งทัศนคติด้านบวกและด้านลบ เราจึงควรแก้ไขความคิดด้านลบๆ ของเราบ้าง ถามว่ามีความจำเป็นอะไร ทำไมเราต้องเปลี่ยนความคิดด้านลบด้วย ก็เพราะว่าเมื่อความคิดของเราเต็มไปด้วยด้านลบๆ มันก็ยากที่จะทำให้ชีวิตได้เจอด้านบวกๆ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าต้องคิดดี พูดดี ทำดี แล้วจะเกิดเรื่องดีๆ ขึ้นกับเราเอง"
"การที่ผมออกมาท้าให้คุณทุกคนลองคิดบวกดู แค่คุณลองรับฟัง ไหนลองดูหน่อยซิว่าที่บุญเกียรติบอกทำแล้วดีจริงไหม แค่ลองเปิดใจก่อนเป็นอันดับแรก ต่อจากนั้นคุณก็จะเห็นเองว่าคิดบวกแล้วมันดียังไงแค่ดูจากสีหน้าเปี่ยมสุขของคนพูดก็พอจะทำให้รู้แล้วว่า “คิดบวกดีอย่างไร”


---ล้อมกรอบ---
พร 3 ข้อของชีวิต
ไม่ต้องถึงกับขอพรกับนางฟ้าเพื่อให้ชีวิตสมความปรารถนา แค่ลองทำตาม 3 ขั้นตอนนี้คือ คิดบวกต่อตนเอง คิดบวกต่อผู้อื่น และคิดบวกต่อสิ่งแวดล้อมหรือองค์กร คุณบุญเกียรติคอนเฟิร์มว่า “แล้วชีวิตจะดีขึ้นอย่างแน่นอน”
 

“การจะคิดบวกได้อย่างครบสมบูรณ์ต้องประกอบไปด้วย 3 อย่างนี้ครับ แต่คนทั่วไปจะมีไม่ครบทั้งหมด ก็เลยทำให้ความคิดขาดๆ เกินๆ กันอยู่ บางคนรู้จักแค่คิดบวกต่อตัวเอง กลายเป็นพวกมั่นใจในตัวเองมากเกินเหตุ ใครบอกใครเตือนอะไรก็ไม่ฟัง อันนี้ก็ถือเป็นข้อเสียไป บางคนนอกจากจะคิดบวกต่อตัวเองคนเดียวแล้ว ยังคิดลบต่อคนอื่นด้วย นี่ยิ่งแย่ใหญ่ บางคนแย่กว่านั้น คิดลบต่อตัวเองและคนอื่น คนพวกนี้อนาคตไม่ค่อยดี เพราะมีแต่เรื่องลบๆ อยู่ในหัว
 
“ดีที่สุดคือคนที่คิดบวกได้ทั้ง 3 ทาง พอเราคิดบวกต่อตัวเองก็จะทำให้มีพลังเหนี่ยวนำให้สิ่งที่ดีๆ เกิดขึ้น หลังจากนั้นคนรอบข้างเราก็จะรับรู้ถึงพลังความสุขที่มีอยู่รอบตัวเรา ทำให้เขาพลอยมีความสุขไปด้วย จากนั้นเราก็เอาความคิดบวกในตัวเองไปใช้กับองค์กรของเราได้ ทำให้คนที่ทำงานกับเรามีความสุข ถ้าทุกคนทำได้แบบนี้สังคมก็จะแวดล้อมไปด้วยเรื่องดีๆ เพราะทุกอย่างมันดีหมด ทั้งตัวเรา ทั้งคนรอบข้าง และสังคมไม่เชื่อลองพิสูจน์ดู


ธรรมะระดับหมื่นล้าน!
ทุกความสำเร็จย่อมมีเบื้องหลัง และแรงผลักดันของผู้ชายคนนี้ก็เกิดจากสิ่งดีๆ ที่เรียกว่า “ธรรมะ” นั่นเอง
 

“ถามว่าผมหยิบธรรมะมาใช้กับชีวิตยังไงบ้าง ง่ายๆ เลยมีอยู่ 2-3 หลักเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรามีสติ สอนให้เรารู้จักคำว่าอนิจจัง นี่คือหลักใหญ่ๆ เลย ที่สอนให้มีสติเพราะเวลามีสติ เราจะรู้จักคิด พอคิดได้ก็จะไม่ทำความชั่ว มีสติแล้วจะใช้ปัญญาแทน แต่ถ้าไม่มีสติก็จะไม่มีปัญญาและเสี่ยงต่อการทำความชั่วทั้งปวง ส่วนที่สอนเรื่องอนิจจัง ก็เพื่อให้ทุกคนรู้จักปล่อยวาง ไม่ยึดติด เพราะในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน แต่ถ้าเราไปยึดติดก็มีแต่จะทำให้เกิดทุกข์ เท่านั้นเอง”
 

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ คนรอบข้างคุณบุญเกียรติต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวว่าตลอดสิบปีมานี้ ไม่เคยเห็นเขาโกรธหรืออารมณ์เสียกับใครเลย เอาแต่ยิ้มอย่างเดียว ถามว่าจริงหรือไม่ เขาไม่ได้ส่ายหน้าหรือพยักหน้า แต่กลับให้คำตอบที่ดีกว่านั้น
 

“ถ้าเราหวังแต่ว่าคนอื่นจะต้องทำถูกใจเราตลอด มันเป็นไปไม่ได้หรอก คิดดูสิ ขนาดตัวเราเอง เรายังทำถูกใจตัวเองทั้งหมดไม่ได้เลย ยังมีเรื่องไม่ได้ดั่งใจเกิดขึ้นเยอะแยะ แล้วอย่างนี้เราจะไปคาดหวังคนอื่นได้ยังไง แต่ถ้าเราเข้าใจ เราบอกตัวเองแล้วว่าจะไม่คาดหวังกับคนอื่น เราก็จะไม่รู้สึกเครียดกับชีวิต พอไม่เครียดก็ไม่ทุกข์ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากหลักง่ายๆ คำเดียวเลยคือ “เมตตา” ถ้าเราเมตตาต่อคนอื่น ถึงใครจะทำผิด เราก็จะไม่เกิดอารมณ์โกรธ แต่กับบางคนที่มีเมตตาน้อย พอลูกน้องทำผิด เขาจะหงุดหงิด เป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที”
 

“อย่างนี้นี่เองท่านถึงได้เป็นซีอีโอระดับต้นๆ ของประเทศ” ผู้สัมภาษณ์พูดพลางพยักพเยิดหน้า เมื่อได้ยินเช่นนั้นผู้ถูกชื่นชมจึงเริ่มถ่ายทอดความคิดความอ่านของเขาให้ฟัง

“ผมไม่เคยบอกว่าผมเป็นมือบริหารระดับไหนนะ เพราะถ้าเรามัวแต่สนใจว่าเราเป็นมือนั่นมือนี่ อยู่อันดับสูงขนาดไหน จะทำให้กลายเป็นคนยึดติดกับชื่อเสียง ยึดติดกับตัวตน เพราะฉะนั้นเวลามีคนมาพูดแบบนี้ ผมจะบอกตัวเองในใจเลยว่าผมไม่รับคำชมเชยนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าถ้ามีคนมาให้ทุกข์เรา แล้วเราไม่รับ ความทุกข์ก็อยู่ที่ตัวเขา ส่วนคำชม ผมก็ไม่รับ เพราะคำชมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอัตตา เป็นได้แค่ความสุขชั่วครู่ เมื่อมันเปลี่ยนแปลงแล้วเรายังยึดติด สุดท้ายก็เกิดทุกข์” นี่แหละคือความคิดของผู้บริหารระดับหมื่นล้านแห่งเครือสหพัฒน์

ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์


สีหน้าเปี่ยมสุขของคนที่โกรธไม่เป็น
ท้าให้คิดบวกผ่านหนังสือ
กำลังโหลดความคิดเห็น