ธพส.เร่งสรรหาเอ็มดีใหม่สะสางปัญหารุมเร้า เดินหน้าแผนหารายได้เพิ่มสภาพคล่องหลังวงเงินกู้ 2 พันล้านหมด เปิดทางเซ็นทรัลพัฒนาบริหารศูนย์ฯ เพิ่มรายได้ เล็งผุดโครงการเฟส 2 ปากซอยราชครู รอครม.ใหม่ไฟเขียวโปรเจกต์ 2 พันล้าน พร้อมเจรจากรมราชทัณฑ์พัฒนาคุก 29 แห่งทั่วประเทศที่อยู่ใจกลางเมืองใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์
นายประสิทธิ์ สืบชนะ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะรองประธานกรรมการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด(ธพส.) เปิดเผยว่า ในเดือนกรกฎาคมนี้ ธพส.จะประกาศสรรหากรรมการผู้จัดการ ธพส.คนใหม่มาทำหน้าที่แทนนายสุระชัยเอี่ยมวชิรสกุล อดีตกรรมการผู้จัดการ ธพส.ได้มีผลไปแล้วเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากก่อนหน้านี้ ได้ยื่นใบลาออกแต่คณะกรรมการ ธพส. สั่งให้พักงานก่อนอย่างไรก็ดีหากผลสอบออกมาว่ามีความผิดก็ต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดี
ทั้งนี้ ธพส.มีภารกิจที่ต้องเร่งดำเนินการหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการภายในที่กรรมการผู้จัดการคนเดิมสร้างปัญหาไว้มากทั้งเรื่องกระแสเงินสดและโครงสร้างการทำงานที่ค่อนข้างไม่มีประสิทธิภาพ โดยในขณะนี้เงินที่ธพส.ทำซีเคียวรีไทเซชั่นมา 2.1 หมื่นล้านบาทได้ใช้ก่อสร้างไป 1.9 หมื่นล้านส่วนอีก 2 พันล้านที่นำมาเป็นกระแสเงินสดวงเงินใกล้จะหมดลงแล้ว
“สิ่งที่บอร์ดพยายามขับเคลื่อนในขณะนี้คือให้องค์กรพยายามเร่งสร้างรายได้ให้มากขึ้นเพราะขณะนี้มีรายได้เฉพาะค่าเช่าจากหน่วยงานราชการที่เช่าเข้ามาเพียงปีละ 2.3 พันล้านบาทเท่านั้น ผู้บริหารใหม่ที่เข้ามาจะต้องเน้นการหารายได้เพิ่มเพราะศูนย์ราชการนี้หากครบ 30 ปีก็ต้องยกให้กับกรมธนารักษ์จะไม่มีรายได้อื่นๆ เข้ามาอีกแล้ว” นายประสิทธิ์กล่าวและว่า โดยเร็วๆ นี้จะให้บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) CPN เข้ามาบริหารพื้นที่ศูนย์ราชการเพื่อสร้างรายได้อีกทางหนึ่งด้วย
สำหรับโครงการต่อไปที่บอร์ดธพส.ได้เตรียมเสนอให้กับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ชุดใหม่ให้อนุมัติคือโครงการพัฒนาพื้นที่ว่างเปล่าของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บบส.) บริเวณปากซอยราชครูพื้นที่ 5 ไร่ ให้ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 2 พันล้านบาท จะใช้เป็นพื้นที่สำหรับหน่วยงานราชการบางแห่งและเป็นอาคารสำนักงานให้เช่าและพื้นที่พักอาศัย เนื่องจากเล็งเห็นว่าอยู่ในทำเลที่ดีใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอารีย์และสนามเป้า
นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างหารือร่วมกับกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมเพื่อขอคืนพื้นที่เรือนจำที่อยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองจำนวน 29 แห่งทั่วประเทศ เพื่อนำมาพัฒนาในเชิงพาณิชย์ร่วมกับการใช้ประโยชน์ของชุมชนในบริเวณนั้นๆ เนื่องจากเรือนจำทั้ง 29 แห่งมีพื้นที่คับแคบและตั้งอยู่ใจกลางชุมชนอาจเกิดความไม่เหมาะสมจึงควรย้ายออกไปอยู่นอกชุมชนและพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น
นายประสิทธิ์ สืบชนะ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะรองประธานกรรมการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด(ธพส.) เปิดเผยว่า ในเดือนกรกฎาคมนี้ ธพส.จะประกาศสรรหากรรมการผู้จัดการ ธพส.คนใหม่มาทำหน้าที่แทนนายสุระชัยเอี่ยมวชิรสกุล อดีตกรรมการผู้จัดการ ธพส.ได้มีผลไปแล้วเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากก่อนหน้านี้ ได้ยื่นใบลาออกแต่คณะกรรมการ ธพส. สั่งให้พักงานก่อนอย่างไรก็ดีหากผลสอบออกมาว่ามีความผิดก็ต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดี
ทั้งนี้ ธพส.มีภารกิจที่ต้องเร่งดำเนินการหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการภายในที่กรรมการผู้จัดการคนเดิมสร้างปัญหาไว้มากทั้งเรื่องกระแสเงินสดและโครงสร้างการทำงานที่ค่อนข้างไม่มีประสิทธิภาพ โดยในขณะนี้เงินที่ธพส.ทำซีเคียวรีไทเซชั่นมา 2.1 หมื่นล้านบาทได้ใช้ก่อสร้างไป 1.9 หมื่นล้านส่วนอีก 2 พันล้านที่นำมาเป็นกระแสเงินสดวงเงินใกล้จะหมดลงแล้ว
“สิ่งที่บอร์ดพยายามขับเคลื่อนในขณะนี้คือให้องค์กรพยายามเร่งสร้างรายได้ให้มากขึ้นเพราะขณะนี้มีรายได้เฉพาะค่าเช่าจากหน่วยงานราชการที่เช่าเข้ามาเพียงปีละ 2.3 พันล้านบาทเท่านั้น ผู้บริหารใหม่ที่เข้ามาจะต้องเน้นการหารายได้เพิ่มเพราะศูนย์ราชการนี้หากครบ 30 ปีก็ต้องยกให้กับกรมธนารักษ์จะไม่มีรายได้อื่นๆ เข้ามาอีกแล้ว” นายประสิทธิ์กล่าวและว่า โดยเร็วๆ นี้จะให้บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) CPN เข้ามาบริหารพื้นที่ศูนย์ราชการเพื่อสร้างรายได้อีกทางหนึ่งด้วย
สำหรับโครงการต่อไปที่บอร์ดธพส.ได้เตรียมเสนอให้กับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ชุดใหม่ให้อนุมัติคือโครงการพัฒนาพื้นที่ว่างเปล่าของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บบส.) บริเวณปากซอยราชครูพื้นที่ 5 ไร่ ให้ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 2 พันล้านบาท จะใช้เป็นพื้นที่สำหรับหน่วยงานราชการบางแห่งและเป็นอาคารสำนักงานให้เช่าและพื้นที่พักอาศัย เนื่องจากเล็งเห็นว่าอยู่ในทำเลที่ดีใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอารีย์และสนามเป้า
นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างหารือร่วมกับกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมเพื่อขอคืนพื้นที่เรือนจำที่อยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองจำนวน 29 แห่งทั่วประเทศ เพื่อนำมาพัฒนาในเชิงพาณิชย์ร่วมกับการใช้ประโยชน์ของชุมชนในบริเวณนั้นๆ เนื่องจากเรือนจำทั้ง 29 แห่งมีพื้นที่คับแคบและตั้งอยู่ใจกลางชุมชนอาจเกิดความไม่เหมาะสมจึงควรย้ายออกไปอยู่นอกชุมชนและพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น