กรรมการ กนง.ชี้ แนวโน้ม ดบ. ยังเป็นขาขึ้น อัตรา ดบ. นโยบายปัจจุบัน ยังต่ำกว่าภาวะเงินเฟ้อ ที่คาดว่าจะทรงตัวในระดับสูง แนะจับตาหาเสียงประชานิยม อาจกดดันเงินเฟ้อครึ่งปีหลังเพิ่มในอัตราเร่ง พร้อมส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป คาดสิ้นปีอยู่ที่ระดับ 3.5% นายแบงก์แนะให้ผ่อนหายใจบ้าง ห่วงภาคธุรกิจช็อก คาดมีการปรับขึ้น 0.25% อีก 2 ครั้ง ปลายปีนี้
นายพรายพล คุ้มทรัพย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ระบุว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังมีโอกาสจะทยอยปรับขึ้นอีกแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากหากเทียบอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ระดับ 3% ยังถือว่าต่ำกว่าระดับอัตราเงินเฟ้อซึ่งอยู่ที่ 3-4%
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า สิ้นปีนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายคงจะปรับขึ้นไปอยู่ระดับประมาณ 3.5% เนื่องจากไตรมาส 3-4 (ครึ่งปีหลัง : H2) อัตราเงินเฟ้อยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่วนต้นปี 2555 อัตราเงินเฟ้อจะเริ่มปรับตัวลดลงได้ตามฐานที่สูงในปีนี้
นายพรายพล มองว่า ปัญหาความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตลอดจนปัญหาหนี้สาธารณะในสหภาพยุโรป โดยเฉพาะกรีซ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับเศรษฐกิจไทยที่ต้องจับตามอง เพราะอาจส่งกระทบต่อเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัวลง ทำให้การส่งออกของไทยลดลงตามไปด้วย ประกอบกับกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายที่จะมีความผันผวนและรุนแรงขึ้น ซึ่งหากมีเงินไหลเข้าประเทศจำนวนมากก็จะกระทบกับค่าเงินบาทและอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศได้
ขณะเดียวกัน ยังต้องจับตาปัจจัยภายในประเทศโดยเฉพาะการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งนโยบายประชานิยมของพรรคการเมืองต่างๆ ต้องดูว่าจะนำเงินมาจากแหล่งใด และการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ แม้จะมีความเหมาะสม แต่หากปรับขึ้นมากเกินไปก็อาจทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อนแล้วหันไปจ้างแรงงานต่างด้าว หรือผลักภาระโดยการปรับขึ้นราคาสินค้า ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้นได้อีก
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับที่ 3% นั้น เชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการมากนัก โดยเฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันค่าเงินบาทของไทยค่อนข้างมีเสถียรภาพ ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอลในระบบได้ปรับตัวลดลงเป็นผลมาจากเศรษฐกิจไทยที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น
ด้านนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า กนง. ควรชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ในการประชุมวันที่ 13 กรกฎาคม 2554 เพื่อให้ภาคธุรกิจปรับตัว เพราะหากปรับดอกเบี้ยเร็วเกินไปจะเป็นภาระต่อภาคธุรกิจได้ แม้ว่าทิศทางดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาขึ้น
"ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ระดับ 3% สามารถดูแลเงินเฟ้อได้ ดังนั้นควรเว้นระยะให้เวลาภาคเอกชนให้สามารถรับมือได้ เพราะช่วงดอกเบี้ยขึ้นเอกชนปรับตัวได้ยากกว่าการทำธุรกิจช่วงดอกเบี้ยขาลง"
นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจภายนอกประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐ และยุโรป ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ขณะที่เศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่นได้ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมควรอยู่ที่ระดับ 3.0-3.5% และคาดว่า กนง.จะมีการขึ้นดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้งจนถึงสิ้นปีนี้
