"โนเบิล" เล็งเพิ่มงบซื้อที่ดินอีก 2-3 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ 1 พันล้านบาท หลังประเมินยอดจองโนเบิลเพลินจิต 70% จากมูลค่าโครงการ 1.5 หมื่นล้าน คาดราคาห้องขยับขึ้นเท่าตัว ตามทิศทางราคาประเมินที่ดินแนวรถไฟฟ้า
นายธงชัย บุศราพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยถึงแผนงานในปีนี้ โดยยืนยันว่าบริษัทเตรียมใช้งบซื้อที่ดินเพิ่มอีก 2-3 พันล้านบาทจากเดิมที่วางเอาไว้เพียง 1 พันล้านบาท หากโครงการโนเบิลเพลินจิต มียอดจองสูง ซึ่งในวันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน 2554 นี้ เป็นวันแรกในการเปิดจองคาดว่าจะมีผู้จองอย่างน้อย 70% จากมูลค่าโครงการ 1.5 หมื่นล้านบาท จำนวน 1.42 พันยูนิต ราคาเฉลี่ย 1.5 แสนบาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.)
โดยโครงการดังกล่าวมีอัตรากำไรขั้นต้น 37.5% อัตรากำไรสุทธิ 15% ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะสร้างรายได้ในปี 2559 ซึ่งจะทำให้ในปีดังกล่าวจะมีการเติบโตรายได้อย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับราคาขายที่ปรับเพิ่มขึ้นด้วย
"มองว่าทำเลเพลินจิตได้เปรียบ และโครงการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อรายได้ของบริษัทในระยะยาว อัตรากำไรขั้นต้นของโครงการสูง และเบื้องต้นมียอดจองเกินกว่าจำนวนที่บริษัทเปิดขาย มั่นใจว่า ราคาขาย 1.5 แสนบาท/ตร.ม. มีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 2-2.5 แสนบาท/ตร.ม."
ทั้งนี้ ในส่วนของผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2554 โดยเฉพาะในแง่ของกำไรเป็นไปได้ว่าจะเพิ่มจากไตรมาส 1/2554 เนื่องจากจะมีการบันทึกกำไรจากการขายที่ดินเปล่า จำนวน 16 ไร่ ที่ขายให้กับบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ในราคา 429.26 ล้านบาท ซึ่งที่ดินดังกล่าวมีมาร์จิ้นสูง
พร้อมกันนี้ คาดว่าทั้งปีกำไรและรายได้อาจลดลงจากปีก่อน ซึ่งเป็นผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนมาตรฐานบัญชี โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 2.5-3.0 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทมีมูลค่างานคงค้างในมือ (backlog) 6 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้ปีนี้ 2 พันล้านบาท
สำหรับภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ มองว่า ความต้องการยังมีอยู่ค่อนข้างมาก และยังให้ความสำคัญกับคอนโดมิเนียมที่อยู่ติดบริเวณรถไฟฟ้าใต้ดินที่ยังมีความต้องการสูง และหากสังเกตุราคาที่ดินมีการปรับตัวเพิ่มข้นต่อเนื่องโดยพื้นที่สุขุมวิทราคาปรับเพิ่มขึ้นเป็น 7 แสนบาทจาก 5 แสนบาท และราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียม 2 ล้านบาท แต่ถ้าราคา 4-5 ล้านบาท จะขายได้ยาก
