ตลาดทุนหวังรัฐบาลใหม่ เดินหน้าแปลงสภาพตลาดหลักทรัพย์ฯสานต่อแผนพัฒนาตลาดทุน -เชื่อมโยงตลาดหุ้นอาเซียน ด้าน “ธีระชัย”เสนอปรับโครงสร้างภาษีเงินออม-กำไรลงทุนหุ้น แบบขั้นบันได ส่วน5 พรรคการเมือง เปิดแนวทางสร้างความแข็งแกร่งตลาดทุน พรรคเพื่อไทย โว หากเป็นรัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกอย่างขอแค่บอกมา สภาธุรกิจตลาดทุนไทยจัดสัมมนา หัวข้อ "ตลาดทุนกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย. ..ภายใต้รัฐบาลใหม่" ณ อาคาร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า รัฐบาลชุดใหม่มีสานต่อในเรื่องการเชื่อมโยงตลาดทุน การเปิดเสรีตลาดหลักทรัพย์ เสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น)เปิดเสรีใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ และส่วนตัวเสนอให้มีการปรับโครงสร้างภาษีการออกและรายได้จากการลงทุนในหุ้นเป็นอัตราขั้นบันได ตามกำไรที่ได้จากการลงทุน จากปัจจุบันที่เก็บในอัตราคงที่และอยู่ในระดับต่ำ จากปัจจุบันที่กำไรจากการขายหลักทรัพย์ (แคปปิตอลเกน)ไม่ต้องเสียภาษี และภาษีเงินปันผลที่ 15% เพราะ เพื่อเป็นการช่วยรัฐบาลในการที่จะต้องมีงบประมาณในการดูแลผู้เกษียณอายุที่อนาคตจะมีจำนวนสูงมากขึ้น
ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ทางสภาธุรกิจตลาดทุนไทย อยากให้รัฐบาลชุดใหม่ในการพัฒนาตลาดทุนไทยใน 3 เรือง คือ การเปิดเหน้าในการแปลงสภาพตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นบริษัท มหาชน เพราะ จะทำให้บริหารงานคล่องตัว การพัฒนาประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจในการลงทุน ตลาดทุน ซึ่งเมื่อประชาชนมีความรู้ก็จะเข้ามาลงทุนในตลาดทุน และควรที่จะมีการจัดตั้งกองทุนลงทุนต่างประเทศ (โกลบอลอินเวสเตอร์)หรือ ตั้งกองทุนความมั่งคั่งขปงระเทศเพื่อนำเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนต่างประเทศ และควรที่จะมีการสร้างจุดเด่นของตลาดทุนไทย และควรที่จะมีการพิจารณาเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ตลาดทุนในระยะยาว
ขณะที่ นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวว่า ส่วนตัวอยากให้รัฐบาลใหม่มีการสนับสนุนดูแล ธนาคารพาณิชย์ ตลาดทุน และบริษัทประกันให้มีความสมดุล ซึ่งการเชื่อมโยงตลาดทุนนั้นจะต้องมีการดำเนินต่อไปซึ่งเป็นความถ้าทายของรัฐบาล และจากการที่รัฐบาลมีแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะมีการใช้ตลาดทุนเป็นช่องทางในการระดมทุนจากภาคเอกชนในการเข้ามาลงทุน ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายอีกอย่างหนึ่ง
นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ INTUCH กล่าวว่า การที่จะเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียนให้มากขึ้นนั้น ควรที่จะมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนเพื่อจูงใจ เพราะ บริษัทจดทะเบียนนั้นมีภาระที่มากขึ้นที่จะต้องมีการปฏิบัติตามเกณฑ์ต่างๆ และบริษัทรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้นมีกฎในการดูแลบริษัทหลายฉบับซึ่งบางครั้งไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงมองว่าควรที่จะมีการแก้ไข
**มุมองตลาดทุนของ5 พรรคการเมือง
นายโอฬาร ไชยประวัติ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะมีการลดภาษีนิติบุคคล เหลือ 23% ในปีหน้า จากปัจจุบันที่เสีย 30% และในปีต่อไปจะมีการลดเหลือ 20% เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนสามารถแข่งขันกับบริษัทต่างประเทศได้จากที่มีต้นทุนที่ต่ำ และหนุนให้ตลาดหลักทรัพย์มีการนำบริษัทที่ประกอบธุรกิจอาหาร และพลังงานเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น และจะมีการพัฒนาตลาดพันธบัตรในตลาดรองให้มีสภาพคล่องการซื้อขายมากขึ้น
ขณะเดียวกันจะมีการพัฒนาบุคคลกรในส่วนของบิรษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ให้มีความรู้ความสามารถการลงทุนได้ทั่วโลกได้ 500 คน ซึ่งค่าใช้จ่ายในการพัฒนาก็จะมีการสนับสนุน นอกจากนี้หากต้องการให้มีการสนับสนุนอะไรก็แจ้งมา พรรคพร้อมที่จะสนับสนุน
โดยมาตรการเร่งด่วนที่พรรคจะมีการดำเนินการหากเป็นรัฐบาล คือ การรวมตลาดอนุพันธ์ กับตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า การเพิ่มสภาพคล่องตลาดตารสารหนี้ เพื่อสามารถให้นักลงทุนรายย่อยสามารถที่จะเข้ามาลงทุนได้ และดำเนินการให้ตลาดทุนสามารถจะมีการพัฒนาผู้บริหารกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก ซึ่งจะมีการดำเนินการให้เสร็จภายใน 6 เดือน
นายกรณ์ จาติกวนิช หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคมองว่าในอีก 4 ปีข้างหน้าอยากเห็นตลาดทุนไทยเป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพ ทั้งตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ และ เป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทในประเทศในแถบอินโดจีน พัฒนาตลาดทุนบอนด์ และการเพิ่มสินค้าที่มีดีและมีความหลากหลาย และมีการเชื่อมโยงตลาดทุน การพัฒนาตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ให้มีบจ.เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีบจ.70 แห่ง จากที่มีบริษัทมีศักยาภาพที่เข้าได้ถึง 2 พันบริษัท มีธรรมาภิบาลที่โปร่งใส สามารถแข่งขันได้กับตลาดทุนต่างประเทศ ”นายกรณ์ กล่าวว่า
นายกรพจน์ อัศวินวิจิตร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน กล่าวว่า พรรคจะมีการดำเนินการให้เกิดธรรมาภิบาลที่ดีในตลาดทุน ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ผู้คุมกฎให้มี ธรรมาภิบาลที่ดี ทั้งสำนักงานก.ล.ต.ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ให้มีการดำเนินการโปร่งใสเปิดเผยข้อมูลการประชุมต่างๆ และมีการให้สิทธิประโยชน์ภาษีการควบรวมกิจการ เพื่อหนุนให้บริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และจะมีการดำเนินการให้มีการนำเงินไปลงทุนต่างประเทศให้สะดวกมากขึ้น
นายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า พรรคจะมีการดำเนินการแปลงสภาพตลาดหลักทรัพย์ และส่งเสริมบริษัทตัวกลางในตลาดทุนให้มีการแข่งขันที่เสรี เพิ่มสินค้าให้มีความหลากหลาย และมีสภาพคล่องการซื้อขาย การให้ความรู้แก่นักลงทุนและมีการเชื่อมโยงตลาดทุนอาเซียน
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า รัฐบาลชุดใหม่มีสานต่อในเรื่องการเชื่อมโยงตลาดทุน การเปิดเสรีตลาดหลักทรัพย์ เสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น)เปิดเสรีใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ และส่วนตัวเสนอให้มีการปรับโครงสร้างภาษีการออกและรายได้จากการลงทุนในหุ้นเป็นอัตราขั้นบันได ตามกำไรที่ได้จากการลงทุน จากปัจจุบันที่เก็บในอัตราคงที่และอยู่ในระดับต่ำ จากปัจจุบันที่กำไรจากการขายหลักทรัพย์ (แคปปิตอลเกน)ไม่ต้องเสียภาษี และภาษีเงินปันผลที่ 15% เพราะ เพื่อเป็นการช่วยรัฐบาลในการที่จะต้องมีงบประมาณในการดูแลผู้เกษียณอายุที่อนาคตจะมีจำนวนสูงมากขึ้น
ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ทางสภาธุรกิจตลาดทุนไทย อยากให้รัฐบาลชุดใหม่ในการพัฒนาตลาดทุนไทยใน 3 เรือง คือ การเปิดเหน้าในการแปลงสภาพตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นบริษัท มหาชน เพราะ จะทำให้บริหารงานคล่องตัว การพัฒนาประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจในการลงทุน ตลาดทุน ซึ่งเมื่อประชาชนมีความรู้ก็จะเข้ามาลงทุนในตลาดทุน และควรที่จะมีการจัดตั้งกองทุนลงทุนต่างประเทศ (โกลบอลอินเวสเตอร์)หรือ ตั้งกองทุนความมั่งคั่งขปงระเทศเพื่อนำเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนต่างประเทศ และควรที่จะมีการสร้างจุดเด่นของตลาดทุนไทย และควรที่จะมีการพิจารณาเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ตลาดทุนในระยะยาว
ขณะที่ นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวว่า ส่วนตัวอยากให้รัฐบาลใหม่มีการสนับสนุนดูแล ธนาคารพาณิชย์ ตลาดทุน และบริษัทประกันให้มีความสมดุล ซึ่งการเชื่อมโยงตลาดทุนนั้นจะต้องมีการดำเนินต่อไปซึ่งเป็นความถ้าทายของรัฐบาล และจากการที่รัฐบาลมีแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะมีการใช้ตลาดทุนเป็นช่องทางในการระดมทุนจากภาคเอกชนในการเข้ามาลงทุน ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายอีกอย่างหนึ่ง
นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ INTUCH กล่าวว่า การที่จะเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียนให้มากขึ้นนั้น ควรที่จะมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนเพื่อจูงใจ เพราะ บริษัทจดทะเบียนนั้นมีภาระที่มากขึ้นที่จะต้องมีการปฏิบัติตามเกณฑ์ต่างๆ และบริษัทรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้นมีกฎในการดูแลบริษัทหลายฉบับซึ่งบางครั้งไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงมองว่าควรที่จะมีการแก้ไข
**มุมองตลาดทุนของ5 พรรคการเมือง
นายโอฬาร ไชยประวัติ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะมีการลดภาษีนิติบุคคล เหลือ 23% ในปีหน้า จากปัจจุบันที่เสีย 30% และในปีต่อไปจะมีการลดเหลือ 20% เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนสามารถแข่งขันกับบริษัทต่างประเทศได้จากที่มีต้นทุนที่ต่ำ และหนุนให้ตลาดหลักทรัพย์มีการนำบริษัทที่ประกอบธุรกิจอาหาร และพลังงานเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น และจะมีการพัฒนาตลาดพันธบัตรในตลาดรองให้มีสภาพคล่องการซื้อขายมากขึ้น
ขณะเดียวกันจะมีการพัฒนาบุคคลกรในส่วนของบิรษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ให้มีความรู้ความสามารถการลงทุนได้ทั่วโลกได้ 500 คน ซึ่งค่าใช้จ่ายในการพัฒนาก็จะมีการสนับสนุน นอกจากนี้หากต้องการให้มีการสนับสนุนอะไรก็แจ้งมา พรรคพร้อมที่จะสนับสนุน
โดยมาตรการเร่งด่วนที่พรรคจะมีการดำเนินการหากเป็นรัฐบาล คือ การรวมตลาดอนุพันธ์ กับตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า การเพิ่มสภาพคล่องตลาดตารสารหนี้ เพื่อสามารถให้นักลงทุนรายย่อยสามารถที่จะเข้ามาลงทุนได้ และดำเนินการให้ตลาดทุนสามารถจะมีการพัฒนาผู้บริหารกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก ซึ่งจะมีการดำเนินการให้เสร็จภายใน 6 เดือน
นายกรณ์ จาติกวนิช หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคมองว่าในอีก 4 ปีข้างหน้าอยากเห็นตลาดทุนไทยเป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพ ทั้งตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ และ เป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทในประเทศในแถบอินโดจีน พัฒนาตลาดทุนบอนด์ และการเพิ่มสินค้าที่มีดีและมีความหลากหลาย และมีการเชื่อมโยงตลาดทุน การพัฒนาตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ให้มีบจ.เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีบจ.70 แห่ง จากที่มีบริษัทมีศักยาภาพที่เข้าได้ถึง 2 พันบริษัท มีธรรมาภิบาลที่โปร่งใส สามารถแข่งขันได้กับตลาดทุนต่างประเทศ ”นายกรณ์ กล่าวว่า
นายกรพจน์ อัศวินวิจิตร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน กล่าวว่า พรรคจะมีการดำเนินการให้เกิดธรรมาภิบาลที่ดีในตลาดทุน ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ผู้คุมกฎให้มี ธรรมาภิบาลที่ดี ทั้งสำนักงานก.ล.ต.ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ให้มีการดำเนินการโปร่งใสเปิดเผยข้อมูลการประชุมต่างๆ และมีการให้สิทธิประโยชน์ภาษีการควบรวมกิจการ เพื่อหนุนให้บริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และจะมีการดำเนินการให้มีการนำเงินไปลงทุนต่างประเทศให้สะดวกมากขึ้น
นายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า พรรคจะมีการดำเนินการแปลงสภาพตลาดหลักทรัพย์ และส่งเสริมบริษัทตัวกลางในตลาดทุนให้มีการแข่งขันที่เสรี เพิ่มสินค้าให้มีความหลากหลาย และมีสภาพคล่องการซื้อขาย การให้ความรู้แก่นักลงทุนและมีการเชื่อมโยงตลาดทุนอาเซียน