อีสท์วอเตอร์ปรับลดเป้าหมายการขายน้ำดิบปีนี้ลง เหตุบางโครงการดีเลย์ มั่นใจทั้งปียอดขายน้ำดิบโตกว่า 12% และมีรายได้ขยายตัวกว่า 12%จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 4.67 พันล้านบาท จ่อขยับขึ้นค่าน้ำดิบหากโครงการวางท่อหนองปลาไหล-มาบตาพุดเส้น 3 ไม่ได้รับบีโอไอ แย้มเตรียมศึกษาความเป็นไปได้โครงการวางท่อเขื่อนรัชชประภาไปยังภูเก็ต พังงาและกระบี่ มูลค่า 4 พันล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปใน 1-2ปี
นายเจริญสุข วรพรรณโสภาค รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายปฏิบัติการ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) (อีสท์ วอเตอร์) เปิดเผยว่า ในปีนี้ปริมาณการใช้น้ำดิบในภาคตะวันออกคาดว่าจะต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 286 ล้านลบ.ม. หรือขยายตัวจากปีก่อน 15-16% เป็นขยายตัวไม่ต่ำกว่า 12% เนื่องจากมีบางโครงการเลื่อนออกไปทั้งโรงกรองน้ำประปาและโครงการปิโตรเคมีของดาวเคมิคอล ทำให้ปริมาณการใช้น้ำดิบในไตรมาส 1/2554 อยู่ที่ 65.7 ล้านลบ.ม. เติบโตเพียง 8.9%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปริมาณการใช้น้ำดิบในปีนี้จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่บริษัทฯคาดว่ารายได้รวมในปีนี้เติบโตมากกว่า 12%จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 4.67 พันล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 2 นี้ สัญญาณการใช้น้ำดิบดีขึ้น และครึ่งปีหลังความต้องการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะเพิ่มสูงขึ้นด้วย จากปริมาณการจำหน่ายน้ำดิบในช่วงที่ผ่านมา พบว่าลูกค้าหลายราย อาทิ การประปาบางแห่ง และนิคมอุตสาหกรรม มียอดการใช้น้ำต่ำกว่าสัญญา คิดเป็นสัดส่วน 20%ของปริมาณการใช้น้ำรวม ดังนั้น บริษัทฯเตรียมทำหนังสือแจ้งไปยังลูกค้าผู้ใช้น้ำที่ใช้น้ำต่ำกว่าสัญญาซื้อขายในเดือนมิ.ย.นี้ โดยระบุว่าลูกค้าจะต้องเสียค่าปรับ 2เท่าจากอัตราค่าน้ำ 9.25 บาท/ลูกบาศก์เมตร หากมีการใช้น้ำต่ำกว่าสัญญาโดยจะมีผลบังคับในเดือนก.ค.นี้ ซึ่งนโยบายนี้จะทำให้บริษัทฯมียอดการจำหน่ายน้ำที่มั่นคงมากขึ้น
นอกจากนี้ในปลายปี 2554 บริษัทฯอาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราค่าน้ำดิบอีก หากบริษัทฯไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จากบีโอไอในโครงการวางท่อหนองปลาไหล-มาบตาพุด เส้นที่ 3 เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากบริษัทฯมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากโครงการดังกล่าวที่คาดว่าจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ในต้นปีหน้า ทำให้เกิดค่าเสื่อม และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที)อีก 8.93 สตางค์/หน่วย
นายเจริญสุข กล่าวถึงแผนการลงทุนธุรกิจน้ำดิบในอนาคตว่า บริษัทฯเตรียมศึกษาความเป็นไปได้ในการวางท่อจากเขื่อนรัชชประภา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ไปยังจังหวัดภูเก็ต กระบี่และพังงา โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรเอกชน เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ 3จังหวัดภาคใต้รองรับการท่องเที่ยวโดยจะเริ่มศึกษาความต้องการใช้น้ำและความเป็นไปได้ของโครงการในปลายปีนี้ รวมทั้งศึกษาเชิงวิศวกรรมด้วย คาดว่าจะใช้เวลาศึกษา 1-2ปี หากพบว่ามีความคุ้มทุนก็จะดำเนินการ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 4 พันล้านบาท เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นการจำหน่ายน้ำกรอง ไม่ใช้น้ำปะปา จึงไม่มีปัญหาในการจำหน่ายน้ำให้กับผู้ใช้ไม่ว่าจะเป็นเทศบาล การประปาส่วนภูมิภาค ส่วนความคืบหน้าการลงทุนธุรกิจบำบัดน้ำเสียและธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อมว่า จะเห็นความชัดเจนในการร่วมทุนกับพันธมิตรทำธุรกิจบำบัดน้ำเสียในเดือนก.ค.นี้ รวมทั้งมีความสนใจเข้าทำธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การกำจัดขยะ และ ขยะชุมชน โดยบริษัทฯจะถือหุ้นใหญ่เกิน 50%
นายเจริญสุข วรพรรณโสภาค รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายปฏิบัติการ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) (อีสท์ วอเตอร์) เปิดเผยว่า ในปีนี้ปริมาณการใช้น้ำดิบในภาคตะวันออกคาดว่าจะต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 286 ล้านลบ.ม. หรือขยายตัวจากปีก่อน 15-16% เป็นขยายตัวไม่ต่ำกว่า 12% เนื่องจากมีบางโครงการเลื่อนออกไปทั้งโรงกรองน้ำประปาและโครงการปิโตรเคมีของดาวเคมิคอล ทำให้ปริมาณการใช้น้ำดิบในไตรมาส 1/2554 อยู่ที่ 65.7 ล้านลบ.ม. เติบโตเพียง 8.9%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปริมาณการใช้น้ำดิบในปีนี้จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่บริษัทฯคาดว่ารายได้รวมในปีนี้เติบโตมากกว่า 12%จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 4.67 พันล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 2 นี้ สัญญาณการใช้น้ำดิบดีขึ้น และครึ่งปีหลังความต้องการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะเพิ่มสูงขึ้นด้วย จากปริมาณการจำหน่ายน้ำดิบในช่วงที่ผ่านมา พบว่าลูกค้าหลายราย อาทิ การประปาบางแห่ง และนิคมอุตสาหกรรม มียอดการใช้น้ำต่ำกว่าสัญญา คิดเป็นสัดส่วน 20%ของปริมาณการใช้น้ำรวม ดังนั้น บริษัทฯเตรียมทำหนังสือแจ้งไปยังลูกค้าผู้ใช้น้ำที่ใช้น้ำต่ำกว่าสัญญาซื้อขายในเดือนมิ.ย.นี้ โดยระบุว่าลูกค้าจะต้องเสียค่าปรับ 2เท่าจากอัตราค่าน้ำ 9.25 บาท/ลูกบาศก์เมตร หากมีการใช้น้ำต่ำกว่าสัญญาโดยจะมีผลบังคับในเดือนก.ค.นี้ ซึ่งนโยบายนี้จะทำให้บริษัทฯมียอดการจำหน่ายน้ำที่มั่นคงมากขึ้น
นอกจากนี้ในปลายปี 2554 บริษัทฯอาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราค่าน้ำดิบอีก หากบริษัทฯไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จากบีโอไอในโครงการวางท่อหนองปลาไหล-มาบตาพุด เส้นที่ 3 เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากบริษัทฯมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากโครงการดังกล่าวที่คาดว่าจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ในต้นปีหน้า ทำให้เกิดค่าเสื่อม และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที)อีก 8.93 สตางค์/หน่วย
นายเจริญสุข กล่าวถึงแผนการลงทุนธุรกิจน้ำดิบในอนาคตว่า บริษัทฯเตรียมศึกษาความเป็นไปได้ในการวางท่อจากเขื่อนรัชชประภา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ไปยังจังหวัดภูเก็ต กระบี่และพังงา โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรเอกชน เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ 3จังหวัดภาคใต้รองรับการท่องเที่ยวโดยจะเริ่มศึกษาความต้องการใช้น้ำและความเป็นไปได้ของโครงการในปลายปีนี้ รวมทั้งศึกษาเชิงวิศวกรรมด้วย คาดว่าจะใช้เวลาศึกษา 1-2ปี หากพบว่ามีความคุ้มทุนก็จะดำเนินการ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 4 พันล้านบาท เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นการจำหน่ายน้ำกรอง ไม่ใช้น้ำปะปา จึงไม่มีปัญหาในการจำหน่ายน้ำให้กับผู้ใช้ไม่ว่าจะเป็นเทศบาล การประปาส่วนภูมิภาค ส่วนความคืบหน้าการลงทุนธุรกิจบำบัดน้ำเสียและธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อมว่า จะเห็นความชัดเจนในการร่วมทุนกับพันธมิตรทำธุรกิจบำบัดน้ำเสียในเดือนก.ค.นี้ รวมทั้งมีความสนใจเข้าทำธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การกำจัดขยะ และ ขยะชุมชน โดยบริษัทฯจะถือหุ้นใหญ่เกิน 50%