“ออสสิริส” เผย ความพร้อมรองรับอีทีเอฟทองคำ ระบุได้จับมือกับ บลจ.ที่พร้อมจัดตั้งกองทุนแล้ว ยอมรับมีการพูดคุย 2-3 ราย ย้ำพร้อมให้บริการลูกค้าที่สนใจได้ทันทีเมื่อTFEX อนุมัติ วางเกมเดินหน้าทำการตลาดร่วมกับบลจ.พาร์ทเนอร์ เพื่อให้ความรู้นักลงทุนก่อนมีการซื้อขายจริง จากกระแสตอบรับขณะนี้ที่อยู่ในระดับสูง
นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสสิริส จำกัด กล่าวถึงการจัดตั้งอีทีเอฟ ทองคำ ที่คาดการณ์ว่าน่าจะเกิดขึ้นในตลาดทุนไทยได้ในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ว่า ในส่วนของบริษัทได้มีการพูดคุยกับบริษัทจัดการลงทุน (บลจ.) และบริษัทหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง 2-3 ราย เพื่อร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ในการเสนอขายหน่วยลงทุนอีทีเอฟทองคำ แล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อพาร์เนอร์ทที่จะเข้าไปร่วมงานด้วยในขณะนี้
ขณะเดียวกัน จากการพูดคุย พบว่า ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องมีความพร้อมที่จะเปิดให้บริการอีทีเอฟทองคำแล้ว แต่ทุกอย่างยังต้องรอจังหวะเวลาที่ดี ในการเปิดให้บริการก่อน ซึ่งมองว่ากำหนดเวลาที่ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) หรือ TFEX ตั้งไว้ เป็นสิ่งที่เหมาะสม
“ในจุดนี้ เมื่อมีการเปิดอีทีเอฟจริงที่ต้องทำสำหรับออสสิริส คือ การร่วมกันทำการตลาดกับบลจ.ที่ได้รับการอนุมัติจาก TFEX ให้เป็นผู้จัดตั้งอีทีเอฟทองคำ ทั้งในการให้ความรู้นักลงทุน การร่วมเป็นตัวแทนจำหน่ายหน่ายหน่วยลงทุนอีทีเอฟ ซึ่งเชื่อว่า จะช่วยสร้างรายได้เข้ามาสู่บริษัทเพิ่มเติมได้อีกทางหนึ่ง”
โดยในส่วนนักลบงทุนโกลด์ ฟิวเจอรส์ และนักลงทุนในทองคำแท่งที่เป็นลูกค้าของออสสิริสนั้น นายบุญเลิศ กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยกับลูกไว้หลายรายแล้ว และพบว่าลูกค้าของบริษัทให้ความสนใจที่จะเข้าลงทุนในอีทีเอฟ จำนวนมาก เพราะมองว่าเป็นอีกผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนที่จะช่วยตอบโจทย์การลงทุนในทองคำได้ครบวงจรมากขึ้น นอกเหนือจาก การลงทุนผ่านทองคำแท่ง โกลด์ฟิวเจอร์สที้เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน และจะมีการขยายเวลาซื้อออกไปในช่วงกลางคืนในเร็วๆ นี้
“อีทีเอฟทองคำจะช่วยเพิ่มฐานนักลงทุนได้อีกจำนวนหนึ่ง เพราะสะดวกและง่ายกว่าการซื้อทองคำแท่ง อีกทั้งไม่มีค่าพรีเมียม หรือค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ นักลงทุนจะไม่มีความกังวลในเรื่องดังกล่าว”
ก่อนหน้านี้ นายบุญเลิศ กล่าวว่า อีทีเอฟ ทองคำจะทำให้การซื้อขายสินทรัพย์ทองคำในมุมของนักลงทุนมีมิติหลากหลายมากขึ้นรวมถึงมีความพร้อมเทียบเท่ากับระดับสากลได้ ไม่ว่าจะเป็นกองทุน ETF ทองคำ โกลด์ฟิวเจอร์ส และทองคำแท่ง โดยมองว่า ปัจจุบันมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ของไทยหลายแห่งได้จัดตั้งกองทุนทองคำขึ้นมาตอบสนองนักลงทุน แต่กองทุนเหล่านั้น มีต้นทุนในการบริหารสูงในระดับหนึ่ง เพราะต้องเสียค่าธรรมเนียม (ฟี) ให้แก่กองทุนทองคำในต่างประเทศ และต้นทุน ในอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องแปลงค่าจากค่าเงินบาทเป็นเงินสกุลดอลลาร์หรือสกุลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปใช้ลงทุนในกองทุนทองคำต่างประเทศ
แต่ถ้าในประเทศไทย มีการจัดตั้งอีทีเอฟทองคำได้จริง มองว่า เรื่องดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ให้ทั้งนักลงทุนและบลจ.ด้วยเนื่องจากจะช่วยลดต้นทุนทางการเงิน หรือต้นทุนค่าใช้จ่ายลง โดยไม่จำเป็นต้องเสียค่าฟีให้แก่กองทุนทองคำในต่างประเทศ เช่นเดียวกับต้นทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่ลงทุนในอีทีเอฟในประเทศมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น จากต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ลดลง
“อีทีเอฟ ทองคำ มีข้อดี 3 ประการ คือ 1.ช่วยทำให้เม็ดเงินลงทุนไม่ไหลออกไปต่างประเทศมากนัก เพราะ บลจ.สามารถจัดตั้งกองทุนทองคำที่สามารถใช้เกณฑ์หรือข้อมูลพื้นฐานอ้างอิงจากอีทีเอฟ ทองคำในประเทศได้ 2.ในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องมองว่าอีทีเอฟ คืออีกเครื่องมือที่สามารถช่วยกระจายหรือป้องกันความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาทองคำได้ โดยเฉพาะบรรดาร้านทองคำ
3.ไม่มีความซับซ้อนมากเกินไป เนื่องจากอีทีเอฟ ทองคำที่จัดตั้งในประเทศดังนั้นน้ำหนักทองคำที่ใช้จัดตั้งอีทีเอฟก็จะมีน้ำหนักปกติเท่ากับทองคำที่ขายอยู่ในประเทศนั่นคือ96.5% หรือ 99.99% ซึ่งจุดนี้ จะช่วยไม่ให้นักลงทุนสับสนกับราคาทองคำได้ เพราะทั้งโกลด์ฟิวเจอร์สทองคำแท่งและทองคำรูปพรรณรวมถึงอีทีเอฟทองคำที่จะมีออกมา ก็ใช้มาตรฐานในเรื่องน้ำหนักเดียวกันหมด”
นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวของอีทีเอฟ ทองคำในประเทศยังสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบต่างๆเกิดขึ้นเหมือนราคาทองคำทั่วไป และช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือต่อเครื่องมือการลงทุนด้านทองคำในประเภทต่างๆ ด้วย
ด้าน นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ TFEX กล่าวว่า TFEX คาดว่าบลจ. ของไทย จะมีการจัดตั้งกองทุนอีทีเอฟทองคำ ได้ภายใน 2-3 เดือน ข้างหน้า หลังผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายกำลังเตรียมความพร้อม เพื่อออกกองทุนดังกล่าว ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการและเตรียมความพร้อมแล้ว
ทั้งนี้ จุดเด่นของกองทุนอีทีเอฟทองคำ คือ ในกรณีที่นักลงทุนต้องการ จะได้ทองคำแท้ (Physical Gold) มาถือครองไว้ ก็สามารถจะแปลงจากหน่วยลงทุน ที่มีอยู่ มาเป็นทองคำแท้ได้ โดยแตกต่างจากกองทุนรวมทองคำ ที่มีอยู่ในขณะนี้ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อลงทุนใน เพราะหน่วยลงทุนของอีทีเอฟในต่างประเทศ คือกองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน อีทีเอฟทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ที่ผลตอบแทนอ้างอิงกับทองคำและจะได้รับผลตอบแทน กลับมาเป็นเงินลงทุน
อีกทั้งนักลงทุนที่ลงทุนในอีทีเอฟทองคำ ยังสามารถลงทุนและซื้อขายได้โดย ไม่ต้องรอราคาทองคำ ณ สิ้นวัน รวมถึงค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการ ก็ไม่ถือว่าสูงกว่าเมื่อเทียบกับกองทุน SPDR ซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ด้วย
นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสสิริส จำกัด กล่าวถึงการจัดตั้งอีทีเอฟ ทองคำ ที่คาดการณ์ว่าน่าจะเกิดขึ้นในตลาดทุนไทยได้ในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ว่า ในส่วนของบริษัทได้มีการพูดคุยกับบริษัทจัดการลงทุน (บลจ.) และบริษัทหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง 2-3 ราย เพื่อร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ในการเสนอขายหน่วยลงทุนอีทีเอฟทองคำ แล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อพาร์เนอร์ทที่จะเข้าไปร่วมงานด้วยในขณะนี้
ขณะเดียวกัน จากการพูดคุย พบว่า ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องมีความพร้อมที่จะเปิดให้บริการอีทีเอฟทองคำแล้ว แต่ทุกอย่างยังต้องรอจังหวะเวลาที่ดี ในการเปิดให้บริการก่อน ซึ่งมองว่ากำหนดเวลาที่ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) หรือ TFEX ตั้งไว้ เป็นสิ่งที่เหมาะสม
“ในจุดนี้ เมื่อมีการเปิดอีทีเอฟจริงที่ต้องทำสำหรับออสสิริส คือ การร่วมกันทำการตลาดกับบลจ.ที่ได้รับการอนุมัติจาก TFEX ให้เป็นผู้จัดตั้งอีทีเอฟทองคำ ทั้งในการให้ความรู้นักลงทุน การร่วมเป็นตัวแทนจำหน่ายหน่ายหน่วยลงทุนอีทีเอฟ ซึ่งเชื่อว่า จะช่วยสร้างรายได้เข้ามาสู่บริษัทเพิ่มเติมได้อีกทางหนึ่ง”
โดยในส่วนนักลบงทุนโกลด์ ฟิวเจอรส์ และนักลงทุนในทองคำแท่งที่เป็นลูกค้าของออสสิริสนั้น นายบุญเลิศ กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยกับลูกไว้หลายรายแล้ว และพบว่าลูกค้าของบริษัทให้ความสนใจที่จะเข้าลงทุนในอีทีเอฟ จำนวนมาก เพราะมองว่าเป็นอีกผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนที่จะช่วยตอบโจทย์การลงทุนในทองคำได้ครบวงจรมากขึ้น นอกเหนือจาก การลงทุนผ่านทองคำแท่ง โกลด์ฟิวเจอร์สที้เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน และจะมีการขยายเวลาซื้อออกไปในช่วงกลางคืนในเร็วๆ นี้
“อีทีเอฟทองคำจะช่วยเพิ่มฐานนักลงทุนได้อีกจำนวนหนึ่ง เพราะสะดวกและง่ายกว่าการซื้อทองคำแท่ง อีกทั้งไม่มีค่าพรีเมียม หรือค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ นักลงทุนจะไม่มีความกังวลในเรื่องดังกล่าว”
ก่อนหน้านี้ นายบุญเลิศ กล่าวว่า อีทีเอฟ ทองคำจะทำให้การซื้อขายสินทรัพย์ทองคำในมุมของนักลงทุนมีมิติหลากหลายมากขึ้นรวมถึงมีความพร้อมเทียบเท่ากับระดับสากลได้ ไม่ว่าจะเป็นกองทุน ETF ทองคำ โกลด์ฟิวเจอร์ส และทองคำแท่ง โดยมองว่า ปัจจุบันมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ของไทยหลายแห่งได้จัดตั้งกองทุนทองคำขึ้นมาตอบสนองนักลงทุน แต่กองทุนเหล่านั้น มีต้นทุนในการบริหารสูงในระดับหนึ่ง เพราะต้องเสียค่าธรรมเนียม (ฟี) ให้แก่กองทุนทองคำในต่างประเทศ และต้นทุน ในอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องแปลงค่าจากค่าเงินบาทเป็นเงินสกุลดอลลาร์หรือสกุลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปใช้ลงทุนในกองทุนทองคำต่างประเทศ
แต่ถ้าในประเทศไทย มีการจัดตั้งอีทีเอฟทองคำได้จริง มองว่า เรื่องดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ให้ทั้งนักลงทุนและบลจ.ด้วยเนื่องจากจะช่วยลดต้นทุนทางการเงิน หรือต้นทุนค่าใช้จ่ายลง โดยไม่จำเป็นต้องเสียค่าฟีให้แก่กองทุนทองคำในต่างประเทศ เช่นเดียวกับต้นทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่ลงทุนในอีทีเอฟในประเทศมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น จากต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ลดลง
“อีทีเอฟ ทองคำ มีข้อดี 3 ประการ คือ 1.ช่วยทำให้เม็ดเงินลงทุนไม่ไหลออกไปต่างประเทศมากนัก เพราะ บลจ.สามารถจัดตั้งกองทุนทองคำที่สามารถใช้เกณฑ์หรือข้อมูลพื้นฐานอ้างอิงจากอีทีเอฟ ทองคำในประเทศได้ 2.ในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องมองว่าอีทีเอฟ คืออีกเครื่องมือที่สามารถช่วยกระจายหรือป้องกันความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาทองคำได้ โดยเฉพาะบรรดาร้านทองคำ
3.ไม่มีความซับซ้อนมากเกินไป เนื่องจากอีทีเอฟ ทองคำที่จัดตั้งในประเทศดังนั้นน้ำหนักทองคำที่ใช้จัดตั้งอีทีเอฟก็จะมีน้ำหนักปกติเท่ากับทองคำที่ขายอยู่ในประเทศนั่นคือ96.5% หรือ 99.99% ซึ่งจุดนี้ จะช่วยไม่ให้นักลงทุนสับสนกับราคาทองคำได้ เพราะทั้งโกลด์ฟิวเจอร์สทองคำแท่งและทองคำรูปพรรณรวมถึงอีทีเอฟทองคำที่จะมีออกมา ก็ใช้มาตรฐานในเรื่องน้ำหนักเดียวกันหมด”
นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวของอีทีเอฟ ทองคำในประเทศยังสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบต่างๆเกิดขึ้นเหมือนราคาทองคำทั่วไป และช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือต่อเครื่องมือการลงทุนด้านทองคำในประเภทต่างๆ ด้วย
ด้าน นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ TFEX กล่าวว่า TFEX คาดว่าบลจ. ของไทย จะมีการจัดตั้งกองทุนอีทีเอฟทองคำ ได้ภายใน 2-3 เดือน ข้างหน้า หลังผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายกำลังเตรียมความพร้อม เพื่อออกกองทุนดังกล่าว ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการและเตรียมความพร้อมแล้ว
ทั้งนี้ จุดเด่นของกองทุนอีทีเอฟทองคำ คือ ในกรณีที่นักลงทุนต้องการ จะได้ทองคำแท้ (Physical Gold) มาถือครองไว้ ก็สามารถจะแปลงจากหน่วยลงทุน ที่มีอยู่ มาเป็นทองคำแท้ได้ โดยแตกต่างจากกองทุนรวมทองคำ ที่มีอยู่ในขณะนี้ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อลงทุนใน เพราะหน่วยลงทุนของอีทีเอฟในต่างประเทศ คือกองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน อีทีเอฟทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ที่ผลตอบแทนอ้างอิงกับทองคำและจะได้รับผลตอบแทน กลับมาเป็นเงินลงทุน
อีกทั้งนักลงทุนที่ลงทุนในอีทีเอฟทองคำ ยังสามารถลงทุนและซื้อขายได้โดย ไม่ต้องรอราคาทองคำ ณ สิ้นวัน รวมถึงค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการ ก็ไม่ถือว่าสูงกว่าเมื่อเทียบกับกองทุน SPDR ซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ด้วย