เอเซีย พลัส แจงงบไตรมาสแรกปีนี้กำไร 190 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนกว่า 72% เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น ผลจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นถึง 60%
นายประทีป ยงวณิชย์ กรรมการผู้อำนวยการบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP แจ้งผลการดำเนินงานตามงบการเงินรวมไตรมาส 1 สิ้นสุด วันที่ 31 มีนาคม 54 ว่ามีกำไรสุทธิ 189.91 ล้านบาทเทียบกับงวดเดียวกันของปี 53 ที่มีกำไรสุทธิ 110.22 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 79.70 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 72.31% เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ในไตรมาสที่ 1 ของปี 54 จำนวน 355.85 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 53 เพิ่มขึ้น 63.60 % ผลจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันในตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ mai เพิ่มขึ้นเป็น 27,659.27 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1 ปี 54 เทียบกับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวัน 16,756.48 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี 53 เพิ่มขึ้น 65.07 % และบริษัทมีปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวัน 2,744.80 ล้านบาท เทียบกับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวัน 1,718.80 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี 53 เพิ่มขึ้น 59.69%
ขณะที่บริษัทมีกำไรจากการซื้อขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ในไตรมาสนี้มี 98.09 ล้านบาทเทียบกับ ปี 53 มีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ 57.64 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นไปตามสภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น ส่วนค่าธรรมเนียมและบริการในไตรมาสที่ 1 ปี 54 จำนวน 77.01 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 53 เพิ่มขึ้น 64.45 % เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการให้บริการที่ปรึกษาทางการเงิน การประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์ และการจัดการกองทุนรวมเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ดอกเบี้ยและเงินปันผลไตรมาสที่ 1 ปี 54 จำนวน 28.21 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 53 เพิ่มขึ้น 60.23 % เนื่องจากบริษัทมีการลงทุนในตราสารทุน และตราสารหนี้เพิ่มขึ้น ส่วนดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในไตรมาสที่ 1 ปี 54 จำนวน 26.59 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 53 เพิ่มขึ้น 83.62 % เนื่องจากบริษัทมีการให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น
สำหรับในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวม 327.29 ล้านบาทเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 53 เพิ่มขึ้น 95.33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 41.10% เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมและบริการจ่าย และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานซึ่งการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่านายหน้า ส่วนการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเจ้าหน้าที่การตลาดซึ่งผันแปรตามปริมาณซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น
นายประทีป ยงวณิชย์ กรรมการผู้อำนวยการบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP แจ้งผลการดำเนินงานตามงบการเงินรวมไตรมาส 1 สิ้นสุด วันที่ 31 มีนาคม 54 ว่ามีกำไรสุทธิ 189.91 ล้านบาทเทียบกับงวดเดียวกันของปี 53 ที่มีกำไรสุทธิ 110.22 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 79.70 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 72.31% เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ในไตรมาสที่ 1 ของปี 54 จำนวน 355.85 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 53 เพิ่มขึ้น 63.60 % ผลจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันในตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ mai เพิ่มขึ้นเป็น 27,659.27 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1 ปี 54 เทียบกับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวัน 16,756.48 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี 53 เพิ่มขึ้น 65.07 % และบริษัทมีปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวัน 2,744.80 ล้านบาท เทียบกับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวัน 1,718.80 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี 53 เพิ่มขึ้น 59.69%
ขณะที่บริษัทมีกำไรจากการซื้อขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ในไตรมาสนี้มี 98.09 ล้านบาทเทียบกับ ปี 53 มีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ 57.64 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นไปตามสภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น ส่วนค่าธรรมเนียมและบริการในไตรมาสที่ 1 ปี 54 จำนวน 77.01 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 53 เพิ่มขึ้น 64.45 % เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการให้บริการที่ปรึกษาทางการเงิน การประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์ และการจัดการกองทุนรวมเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ดอกเบี้ยและเงินปันผลไตรมาสที่ 1 ปี 54 จำนวน 28.21 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 53 เพิ่มขึ้น 60.23 % เนื่องจากบริษัทมีการลงทุนในตราสารทุน และตราสารหนี้เพิ่มขึ้น ส่วนดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในไตรมาสที่ 1 ปี 54 จำนวน 26.59 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 53 เพิ่มขึ้น 83.62 % เนื่องจากบริษัทมีการให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น
สำหรับในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวม 327.29 ล้านบาทเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 53 เพิ่มขึ้น 95.33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 41.10% เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมและบริการจ่าย และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานซึ่งการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่านายหน้า ส่วนการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเจ้าหน้าที่การตลาดซึ่งผันแปรตามปริมาณซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น
