“ขุนคลัง” เผย ความสำเร็จประชุม รมต.คลังอาเซียน ร่วมลงนามข้อตกลง “อาเซียน สตาร์” นำหุ้นชั้นดี 30 ตัวของแต่ละประเทศ นำมาสร้างดัชนี เพื่อยกระดับตลาดทุนอาเซียน พร้อมเปิดให้ซื้อขายในประเทศสมาชิกได้โดยตรง เดินหน้าตั้ง “อินฟราสตรัคเจอร์ อาเซียน ฟันด์” วงเงิน 500 ล้านดอลลาร์ ภายในปีนี้ ยันบาทแข็งค่ายังไม่น่ากังวล ไม่พบเงินไหลเข้ามาเก็งกำไรผิดปกติ
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียน ที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า รัฐมนตรีคลังอาเซียนได้ข้อสรุปเรื่องการพัฒนาตลาดทุน โดยผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ของไทย ร่วมลงนามความร่วมมือกับผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสมาชิกในอาเซียน เพื่อทำโครงการ อาเซียน สตาร์ โดยการนำบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสมาชิกประเทศละ 30 บริษัท มาร่วมสร้างดัชนีเพื่อยกระดับตลาดอาเซียน
“คาดว่า ปลายปีนี้ อาเซียนจะมีการลงนามเพื่อทำการค้าขายโดยตรงระหว่างสมาชิก ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถค้าขายหลักทรัพย์โดยตรง เช่น นักลงทุนสามารถลงได้ในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย หรือ สิงคโปร์ ได้โดยตรง”
นอกจากนี้ ที่ประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียน ยังมีข้อสรุปที่จะร่วมกันจัดตั้งกองทุนสาธารณูปโภคของอาเซียน (Infrastructure Asian Fund) ในวงเงินประเดิม 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งแนวทางการบริหารจัดการ และลักษณะของโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการ แต่คาดว่าจะจัดตั้งแล้วเสร็จภายในปีนี้
ในส่วนของประเทศไทยจะเสนอขออนุมัติจากที่ประชุมรัฐสภาในการนำงบประมาณเป็นทุนประเดิมวงเงิน 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในระยะยาวเป็นโอกาสที่ไทยจะนำเงินสำรองระหว่างประเทศเข้าลงทุนในพันธบัตรที่มีระดับเครดิตเรตติ้ง สามารถนำเงินสำรองเข้ามาลงทุนได้ ซึ่งวงเงินที่ระดมทุนในกองทุนดังกล่าวเพื่อนำไปลงทุนระบบสาธารณูปโภคของอาเซียน
“ความตั้งใจของเราในระยะยาวที่เราจะมีโอกาสใช้เงินสำรอง เข้าไปซื้อพันธบัตร (บอนด์) นี้ได้ เพื่อให้เรามีเงินลงทุนในระบบสาธารณูปโภคในอาเซียน”
นอกจากนี้ ในการประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียน ยังได้มีการหารือถึงแนวโน้มความร่วมมือด้านการเงินการคลัง แนวทางการร่วมมือ การกำหนดอัตราภาษี หรือการปรับลดภาษีของอาเซียนเพื่อจูงใจนักลงทุน ทั้งนี้ เพื่อให้ตลาดในภูมิภาคอาเซียนมีเสถียรภาพมากขึ้น
**ยันบาทแข็งค่ายังไม่น่าห่วง
ส่วนกรณีที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาในขณะนี้ รมว.คลัง ระบุว่า ยังไม่ได้อยู่ในระดับที่น่ากังวลในระยะสั้น และยังไม่พบเงินที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรอย่างผิดปกติ
ก่อนหน้านี้ เงินบาททรงตัวมาระยะหนึ่ง หลังจากกระทรวงการคลังออกมาตรการในช่วงเดือน ต.ค.53 แต่เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงนี้ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความกังวลมากนัก
“แนวโน้มระยะยาวค่าเงินบาท ก็ยังไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงมาก เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ส่วนเงินทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนก็ยังไม่พบรายงานความผิดปกติ หรือการเข้ามาเก็งกำไร”
อย่างไรก็ตาม มองว่า การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้ มีผลดีทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมัน เพราะหากเงินบาทอ่อนค่าลง จะทำให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นภาระต่อประเทศถึงสองเด้ง ขณะที่มองว่าผู้ส่งออกสามารถปรับตัวรับกับสถานการณ์ค่าเงินบาทได้แล้ว