xs
xsm
sm
md
lg

CLSA ชูหุ้นไทยติด3ตลาดหุ้นเด่นของเอเชีย ในการรองรับเม็ดเงินไหลกลับจากสหรัฐฯ (สัมภาษณ์พิเศษ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online



“ASTVผู้จัดการ” ได้สัมภาษณ์ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการลงทุนภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เครดิต ลียองเนส์ (ฮ่องกง) หรือ CLSA จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2554 ถึงสภาวะแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นระดับภูมิภาคเอเชีย โดยในฐานะผู้แนะนำการลงทุนของกองทุนขนาดใหญ่ที่เข้ามาลงทุนใน 13 ตลาดภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รวม ประเทศญี่ปุ่น

นอกจากนี้ เขายังได้ให้มุมมองหลายหลายทั้งในประเด็นตลาดหุ้นภูมิภาค รวมถึง ภาพความเปลี่ยนแปลงระดับมหภาคของประเทศที่สำคัญๆ ซึ่งมีอาจมีผลต่อแนวโน้มของตลาดหุ้นเอเชีย ที่น่าสนใจในแบบตรงไปตรงมา

สำหรับ CLSA Asia-Pacific Markets เป็นบริษัทนายหน้าค้าหุ้นและกลุ่มลงทุนแถวหน้าของเอเชีย ก่อตั้งเมื่อปี 1986 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศฮ่องกง โดยมีทีมงานมืออาชีพกว่า 1,500 ชีวิตใน 15 เมืองของเอเชีย รวม ลอนดอน นิวยอร์ก บอสตัน ชิคาโก้ และซานฟรานซิสโก โดยมี Credit Agricole ซึ่งควบรวมกับ Credit Lyonnais เมื่อปี 2003 เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 65% ที่เหลืออีก 35% เป็นหุ้นของทีมงาน CLSA

ASTVผู้จัดการ - อยากให้คุณปริญญ์ช่วยมอง Movement ตลาดหุ้นไทยในระยะกลางและระยะยาวว่าจะเป็นอย่างไร

ปริญญ์ - ผมคิดว่าตลาดไทยจริงๆ ภายในระยะสั้นหรือระยะกลางอาจจะถูกบดบังด้วยเรื่องการเมือง จริงๆ แล้วนักลงทุนฝรั่งที่มองเมืองไทยทราบดีว่าการเมืองเป็นเรื่องผันผวน คนที่ซื้อขายหุ้นเมืองไทยจริงๆ พยายามที่จะไม่เอาการเมืองมาเป็นตัวแปร แต่ได้ให้ Discount กันไปแล้ว เหมือนได้รับทราบข่าวไปแล้วว่าการเมืองไทยมีอะไรดี อะไรไม่ดี

แน่นอนทุกคนจะดูเหมือนจะเห็นตรงกันว่าหากรัฐบาลมีเสถียรภาพและต่อเนื่องในเรื่องนโยบายแล้วจะเป็นผลบวกต่อตลาด ความต่อเนื่องหมายความว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์หรือขั้วการเมืองทางฝั่งอภิสิทธิ์ได้กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกรอบแล้วแนวโน้มของตลาดจะมีขาขึ้นแน่

แต่สิ่งนี้ผมเชื่อว่าทุกคนรู้อยู่แล้ว หรือทุกคนอาจจะยังไม่ค่อยรู้และยังตัดสินใจไม่ได้กันคือประเด็นของวงจรหรือวัฏจักรการลงทุนจากทางภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้จริงหรือเปล่า เพราะการลงทุนในประเทศจาก Private Domestic Investment มันต่ำมาหลายปีมากแล้ว

อย่างถ้าเราไปคุยกับบางเจ้าเขาก็ว่าจะมี Re-Service จะ Upgrade โรงกลั่นน้ำมันใหม่ กลุ่ม CP Group เมื่อก่อนผมเจอท่านธนินท์ (เจียรวนนท์) ปลายปีก่อนท่านไปที่เมืองจีน ท่านก็พูดกับนักลงทุนที่มาเจอกับนักลงทุนของเรา ท่านก็บอกว่าของเราต้อง Expand อีกเยอะทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทางเราคิดว่าจะเป็นครัวของโลกเราต้อง ขยายกำลังการผลิตในเมืองไทย จะซื้อบริษัทในเมืองไทย จะขยายการค้าส่งตัวที่เป็น CP Fresh Mart พูดถึงขนาดที่ว่าแกมี Capacity ที่ต้องมีการกู้ยืมอีกเยอะ เพราะฉะนั้น CP Group จะต้องโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ....

ทางคุณโทนี่ (ชาติสิริ โสภณพนิช) ก็บอกว่ามันจะโต แต่มันไม่โตมากขนาดนั้น คือ Loan growth จะโตประมาณ 7-9 เปอร์เซ็นต์ปีนี้ แต่จริงๆ ทาง CLSA มองว่าจะสูงถึง 12 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ซึ่งเรามองค่อนข้างจะเหนือกว่าตลาดอื่น คือปกติแล้วทางคนอื่นเขาอาจจะมองแค่ High-Digit 7-8เปอร์เซ็นต์ แต่ที่เรามองสูงขนาดนั้นเพราะคิดว่า 4-5 ปีที่ผ่านมาไทยไม่มีการลงทุนอะไรเลย หลายๆ อย่างหลายโรงงานต้องยกระดับ Facility

อย่างทางฝั่งเบียร์ช้างเองก็ไปสร้างโรงงานใหม่ เมื่อวันก่อน (21 มี.ค.) ทางคุณเจริญ (สิริวัฒนภักดี) ไปทานข้าวกับคุณบัณฑูร (ล่ำซ่ำ) KBANK แกบอกเลยว่าแกขอ Maximum Limit ขอเพิ่มอีกหน่อยได้ไหม แกก็พูดตรงๆ เลยว่าขอเพิ่มเพดาน จริงๆ ทางไทยเบฟเขาผลักดันมาหลายปีแล้ว และในปีนี้เขาก็จะขอปรับเพดาน อีก เพราะมีโรงงานใหม่อีกที่จะ Expand ที่กำแพงเพชรและ Expand ต่อไปอีก ธุรกิจของเบอร์ลี่ยุคเกอร์ที่อยู่ในเครือคุณเจริญก็จะขยายและย้ายโรงงานจากที่อยู่ใกล้ๆ ธนาคารกสิกรไทยที่มีโรงงานใหญ่ก็จะย้ายสถานที่ไปอยู่ที่กำแพงเพชร และต้อง Upgrade Facility โรงงานก็จะใหญ่ขึ้นไปอีก

เพราะฉะนั้น กำลังการผลิตของบริษัทพวกนี้ที่จะโตได้ คุณเจริญมองแล้วว่าจะใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการโต และตลาดในชนบทโตได้อีกเยอะเลย สบู่นกแก้ว กระดาษทิชชูเซลล็อก ช็อกโกดริงก์ เทสโต้ แกบอกว่าการเติบโตพวกนี้ยังมีอีกมาก

ตอนนี้คุณเจริญบอกว่าเริ่มไปทำ Logistics ทำ Trading Company ซึ่งกุมตลาดพวกแก้ว กล่องกระดาษอยู่ทางเวียดนาม คือมันมีธุรกิจไทยพวกนี้ที่ผมเชื่อว่ามันยังไปอีกได้ แล้วแกไปโตในพม่า กัมพูชา และลาว ซึ่งเป็น 3 ประเทศที่บริษัทไทยเริ่มทำธุรกิจมากขึ้น และประเทศพวกนี้ยังถือว่าปิดอยู่เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ดังนั้นบริษัทที่มีเครือข่ายมีความสามารถที่จะเข้าไปรู้จักรัฐบาลของเขาได้อย่างคุณเจริญหรืออย่างปูนใหญ่ ปูนซีเมนต์ ที่เข้าไปได้นั้นจะทำให้มีจุดได้เปรียบ

เพราะฉะนั้นสำหรับหุ้นไทยผมถือว่ายังถูก และต่างชาติที่ผมได้คุยด้วย Fund Flow ที่เข้ามาเมื่อปลายปีที่แล้วเป็น Hedge Fund เยอะมาก ผมเห็น Hedge Fund flowเข้ามาก่อนหน้า คือมันมี 2 รอบคือพวกที่ซื้อไปนานมากแล้วตั้งแต่ดัชนี 400 กว่า 500 กว่า และก็ซื้อเต็มที่ Templeton ก็ซื้อจนกระทั่งอยู่ในไทยสูงถึง 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าใหญ่มาก

Templeton มีกองทุนที่ชื่อ Global Emerging Market Pension Fund ทาง Templeton มาตั้งออฟฟิศ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ เขาจ้างมีนักวิเคราะห์ที่เป็นคนไทย 2 คนมานั่งอยู่ในเมืองไทย ถ้าเขาไม่เห็นศักยภาพ ในเมืองไทยก็คงไม่ทำแบบนี้หรอก อาร์เบอร์ดีนก็มีออฟฟิศใหญ่อยู่ในนี้มานานแล้ว AIA แม้ธุรกิจทางอเมริกาจะมีปัญหา แต่ AIA ก็ไม่เคยปล่อยทางเมืองไทย และยังมีทีมใหญ่ที่นี่คอยดูแลอยู่

ส่วน Capital เขาก็ซื้อไปเร็วเหมือนกัน แล้วเริ่มกลับมาดูพวก Consumer Stock เพราะตอนนี้หุ้นที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภค หุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคเริ่มอ่อนตัวลงจากเงินเฟ้อเป็นปัญหา นักลงทุนรายย่อยหรือนักลงทุน Hedge Fund บางรายจึงเทขายทำกำไรในหุ้นที่ Perform ดีปีที่แล้ว อย่างกลุ่มซีพีออลล์, โฮมโปร, บิ๊กซี ซึ่งจะทำให้หุ้นเหล่านี้อาจอ่อนตัวลงในระยะสั้น

แต่ผมยังเชื่อว่ามีกำลังซื้อจากคนรากหญ้า ซึ่งผมไปโรดโชว์กับคุณวิชาของเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์เมื่ออาทิตย์ก่อนมาแล้วที่ลอนดอนเป็นครั้งแรกที่คุณวิชาไป และก็พบว่า Capital Hedgeทั้ง BlackRock ทั้ง Templeton ทั้ง GE Capital ที่ลอนดอน เจอกันอย่างพร้อมหน้า จริงๆ แล้วเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ถือว่าเป็นหุ้น Small Cap การที่จะให้นักลงทุนต่างชาติเจอแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คุณวิชาออกไปโรดโชว์ครั้งแรกในรอบ 2 ปี และปีนี้เขาก็มั่นใจมากว่าจะมีภาพยนตร์ระดับ Maga Hollywood และ Blockbuster เยอะมาก ประกอบกับหนังไทยอย่างพระนเรศวรที่จะเปิดฉายในปีนี้ อันแรกจะมาสิ้นเดือนนี้ บวกกับหนังไทยหลายเรื่องที่แรงตอบรับดี อย่างสุดเขตเสลดเป็ด พวกนี้ดีหมดเลย

ขณะที่ยอดขายในต่างจังหวัดเริ่มดีและสู้กับกรุงเทพได้ แม้สัดส่วนจะมีขนาดเล็กคือ 30 เปอร์เซ็นต์แต่จะเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน และเมเจอร์ฯ เพิ่งไปเปิดที่เชียงราย อุดร ขอนแก่น ขายดีหมดเลย แล้วด้าน Sale Price แกมี Pricing Power ที่จะขึ้นราคาได้ มาร์จินต่างจังหวัดจะสู้กรุงเทพได้ เพราะฉะนั้น กำลังซื้อของรากหญ้าในไทยยังมีอยู่จริง และทุกคนคงไม่ลืมอยู่แล้วว่าประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกด้านเกษตร ปีนี้สินค้าเกษตรมีราคาสูงและยังจะดีต่อ รวมถึงความต้องการสินค้าเกษตรระยะยาวแล้วยังไงหนีไม่พ้นไปไหนแน่นอน

ตรงนี้เวลาอธิบายให้นักลงทุนฟังต้องอธิบายในเชิงที่ว่า 10 ปีให้หลังคุณเห็นจีนเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ แรงงานจีนนั้นเคยอยู่ในภาคการเกษตรเยอะมาก แต่ใน 2-3 ปีหลังมานี้แรงงานภาคเกษตรของจีนได้ย้ายเข้ามาอยู่ในภาคอุตสาหกรรม ภาคการเงิน ภาคการลงทุน ทำให้เกิดภาพการเคลื่อนย้ายของคนในชนบทเข้ามาอยู่ในเมืองเพื่อทำงานที่อาจเกี่ยวกับการค้าขาย บริษัทหรือธุรกิจการเงิน การธนาคาร หรือกฎหมายอะไรก็แล้วแต่

พอ First Primary Sector Labor ลดลง Secondary Labor เพิ่มขึ้นมันทำให้สินค้าเกษตรในจีนไม่มีวันถูกอีกต่อไปแล้ว ไม่มีวันที่สินค้าที่ส่งออกจากจีนจะถูกอีกต่อไป It's the end of cheap labor of China that's for the inflationary to the West เพราะตอนนี้ทางภาคตะวันตก อเมริกา ยุโรป ที่ต่างก็เคย Enjoy ของถูกๆ จากเอเชีย แต่อนาคตจะไม่ใช่อย่างนั้นแล้วเอเชียจะเป็นผู้ส่งออกเงินเฟ้อ ไม่ใช่ผู้ส่งออกเงินฝืด

เมื่อจีนเป็นอย่างนี้แล้วทำให้เกษตรกรที่เคยทำไร่ไถ่นาน้อยลง แน่นอนค่าครองชีพหรือค่าแรงงานจะสูงขึ้น จีนมี Double-digit growth มาตลอด 10 ปี เพราะฉะนั้นเงินเฟ้อจึงต้องสูงขึ้นตามมาด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ และเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปจากความต้องการของรัฐบาลจีนที่จำเป็นต้องหาเลี้ยงคนเรื่องการเกษตร

เงื่อนไขสินค้าเกษตรของจีนจึงสูงมาก เพราะตอนนี้จีนกำลังเริ่มขาดแคลนน้ำ จะเห็นได้จากที่จีนสร้างเขื่อนกักน้ำจากแม่น้ำที่ไหลมาจากทางเหนือของจีนลงมาทางพม่าและมาทางไทย ทางเราก็เริ่มบ่นแล้วว่าจีนไปกักน้ำ ไปกักอะไรไว้ เพราะฉะนั้นการชลประทานเป็นการลงทุนที่ทางไทยเริ่มไปลงทุนมากขึ้น ถ้าสินค้าเกษตรของเรายังมี Yield ที่ดีขึ้น หากรัฐบาลจะพยายามหาวิธีที่จะทำให้การลงทุนดีขึ้น โดยส่งเสริมการพัฒนาเมล็ดพันธุ์เพื่อทำให้ Yield ดีขึ้นแล้ว ผมว่ารายได้เกษตรไทยจะดีขึ้น

สินค้าเกษตรไทยคือคนกลางได้ไปเยอะ แน่นอนว่าปัญหาเรื่องคนกลางนั้นรัฐบาลต้องไปปรับปรุงให้ดีขึ้นเพื่อทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้นจริงๆ ไม่ใช่รายได้ที่มาจากการซื้อเสียง แต่เป็นรายได้ที่มาจากการแบ่งปันผลประโยชน์ที่มากขึ้นจากคนกลางมาสู่เกษตรกร การพัฒนาภาคการเกษตรของรัฐบาลด้วยวิธีการแจกโค กระบือ มันไม่ใช่การสอนวิชาชีพที่แท้จริงเพื่อจะทำให้เกิดการสร้างงานและสร้างรายได้อย่างแท้จริง แต่ผมว่าท่านอภิสิทธิ์พยายามที่จะทำ อย่างเรื่องการศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาด้านวิชาชีพ แต่ที่จะไปล้างอะไรมันได้ผมคิดว่ามีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะ และตอนนี้เขาก็เริ่มทำแล้ว

ปัญหาคือพวกนี้มันไม่ใช่ Vote Winner Policy ไม่ใช่อะไรที่จะเป็นการเอาชนะคะแนนระยะสั้น ทุกรัฐบาลมาก็ทำง่ายคือแจกสร้างเงินสร้างถนน มันง่ายกว่าเยอะ และได้คะแนนโดยตรง เพราะเงินถึงมือคุณโดยตรง คุณก็ชอบ และคุณก็รักเขา แต่ผมคิดว่าคุณอภิสิทธิ์ทราบดีถึงเรื่องเหล่านี้ และก็พยายามทำ อันนี้ผมไม่รู้ว่ากระทรวงการคลังทำไปได้แค่ไหน แต่ผมคิดว่าความพยายามมันต้องมีการเริ่มต้นเราถึงจะทำตรงนี้เข้าไปได้

แล้วไม่ใช่ว่าอย่างชาวนาไทยจะมีใครเข้าไปช่วยลงทุน อย่างเพื่อนผมทำโรงสีข้าว คนที่โรงสี คนที่ทำข้าว ก็เริ่มมีคนที่เขาต้องกระจายเม็ดเงินตรงนี้เพิ่ม ตอนนี้ผมเห็นคนในรัฐบาลเริ่มพูดเรื่องคนโรงสี เรื่องโควต้า หมายความว่าต้องให้เอาเม็ดเงินมาลงทุนกับชาวนาให้มากขึ้นและก็ไปสอนเขา คือมันจะต้องมีคนที่มี Technical know-how เข้าไปสอนในขั้นตอนอีกเยอะ อย่างทางกลุ่มซีพี พยายามที่จะเข้าไปสอน เข้าไปทำ แต่ยังเล็กมากเมื่อเทียบกับจำนวนชาวนาจริงๆ

คือเมืองไทยเรามีปัญหาเรื่องการศึกษามาตั้งแต่ต้นที่ไม่มีลงทุนเข้ามาเลย และคนที่ไปลงทุนก็ลงทุนแบบผิดๆ อย่างสมัยก่อนเรื่องคอมพิวเตอร์ ซื้อคอมพิวเตอร์ไปให้ แต่ไม่มีโรงไฟฟ้าให้ใช้ ผมว่าเป็นปัญหาจริงๆ ที่กระทรวงศึกษาธิการของเราไม่เคยมีคนที่อยากเป็นรัฐมนตรีจะรู้สึกอยากสนใจเข้ามาทำกันจริงๆ และปัญหารายได้ครูนั้นในประเทศที่เจริญแล้วรายได้คนทำงานเพื่อหมู่บ้านจะสูงกว่าใครเยอะ มันต้องปรับโครงสร้าง แต่ปัญหาคือจะมีรัฐบาลคนไหนที่กล้าเข้าไปปรับและมีอำนาจเพื่อที่จะเข้าไปทำอะไรได้จริง

ASTVผู้จัดการ - แล้วต่างชาติมองโครงสร้างเมืองไทยที่มีปัญหาแบบนี้ยังไง

ปริญญ์ - ผมคิดว่าต่างชาติเขามองขั้นแรกแบบธรรมดาก่อน คือเขาคิดว่าโครงสร้างของไทยคงเหมือนกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ คือมีปัญหาการเมือง มีภาคการเกษตรที่แข็งแรง มีน้ำมัน มีทรัพยากร มีก๊าซ เขาไม่หวังหรอกว่าใน 10 ปีข้างหน้าไทยจะปรับโครงสร้างได้เร็วถึงขั้นที่ว่ารายได้แรงงานครูหรือข้าราชการสำคัญๆ จะสูงขึ้นมาก เขาไม่ได้หวังถึงขั้นนั้น

ขั้นแรกเขาเห็นแค่ว่าแรงงานถูกมากเมืองไทย แรงงานถูกมีความรู้ ความสามารถ เพราะตอนนี้ปัญหาคือแรงงานจีนที่มีความรู้นี่จะแพงและแพงขึ้นเร็วกว่าไทยด้วย พอมันแพงขึ้นเร็วกว่าเมืองไทยก็จะมีกลุ่มบริษัทหลายๆ อันที่กระจายทรัพยากรไปประเทศอื่น แน่นอนอย่างบังคลาเทศ อย่างลาว มันเป็นประเทศที่แรงงานถูกที่สุด คือถูกสุดๆ ฝีมือไม่ต้องสูงมาก แต่แรงงานไทยฝีมือก็มีและราคาก็ถูก

ถ้าถามจีนถาม ญี่ปุ่น ที่เข้ามา เขาอยากเปิดโรงงานในเมืองไทย เขายังอยากจะเข้ามาอยู่ เพราะไทยมีสาธารณูปโภค ทั้งกฎหมายเอื้อการลงทุนที่เปิดตลอด เราไม่ได้มีปัญหาหวือหวาอย่างเวียดนามที่มีปัญหาค่าเงินด่อง รัฐบาลต้องเข้ามาแทรกแซงโน่น แทรกแซงนี่ ทางเวียดนาม พม่า ลาว ก็ยังไม่เปิดเต็มที่ ส่วนบังคลาเทศก็มีปัญหาฮาร์ดแวร์ด้านถนนหนทาง ไฟฟ้า หรือโรงไฟฟ้าที่ยังไม่เสถียร ไทยเราถือว่าเป็นจุดที่สุดๆ แล้วตอนนี้ในสายตาต่างชาติ

ถ้าพวกผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพท์เพื่ออุตสาหกรรม อย่าง อมตะ จะเห็นได้ว่าพอความมั่นใจกลับมา หุ้นมันจะวิ่งอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ไทยจะมีปัญหาเรื่องการเมือง แต่นักลงทุนพวกนี้มอง 15-20 ปีว่าประเทศนี้แรงงานมีความสามารถจริง แล้วราคาจะถูกต่อไปไหม น่าอยู่อาศัย ปลอดภัยหรือเปล่าถ้าจะส่งแรงงานของเขาเองจากญี่ปุ่น จากจีน จากนิวซีแลนด์ จากออสเตรเลีย เข้ามาอยู่ ทุกคนอยากอยู่เมืองไทย ผมว่าสาธารณูปโภคบ้านเรามีทั้ง Soft Side และ Hard Side ในระดับที่ใช้ได้

ASTVผู้จัดการ - ต่างชาติเห็นกันยังไงกับปัญหาการลงทุนทั้งภาครัฐ-เอกชนที่ไม่มีมาหลายปีแล้ว

ปริญญ์ - อย่างที่ผมบอกว่ามันจะมีวัฏจักร จะกลับมาจริงไหม คือเราเริ่มเห็นสัญญาณของการเข้ามาขอเงินกู้ใหม่มากขึ้น อย่างเซ็นทรัล ก็เริ่มเข้ามาลงทุนเปิดช็อปปิงมอลล์ ในต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งทางเขาก็พูดอยู่เสมอว่าเขาอยากจะเปิดเพิ่ม คือ กลุ่มเซ็นทรัลคิดว่าเขาจะขยายได้

กลุ่มบ้านปู แม้เขาจะทำ M&A ในต่างประเทศ แต่เขาก็มีความต้องการที่ต้องกู้ในบ้านเราเพื่อขยายเหมืองที่เขามีอยู่แล้วในเมืองไทย และที่เขาไปซื้อเหมืองอินโดฯ เหมืองออสเตรเลีย เขาต้องขยายของเขาตรงนั้น และเขาก็ขยายออกไปได้ ทางกลุ่มโฮมโปรก็มีเป้าหมายว่าจะเพิ่มสาขา ซีพีออลล์มีเป้าหมายชัดเจนเหมือนกันว่าจะโตปีละ 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นพวกบริษัทที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคทุกคนพูดไปในทางเดียวกันว่า การเติบโตยังต่ำปีละ 15-20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอันนี้ค่อนข้างดีมากสำหรับต่างชาติที่มองเรา

เพราะเขาเห็นว่ายังมีบริษัทที่มีความมั่นคง เหล่านี้สามารถเติบโตได้ 10-20 เปอร์เซ็นต์นั้นถือว่าเติบโตมาก เพราะหากไปมองยูนิลีเวอร์ที่อเมริกา หรือมองประเทศอื่นในเอเชียนั้นมีน้อยมาก และมูลค่าหุ้นเราก็ถูกเมื่อเทียบกับจีนซึ่งหากโตได้เท่านี้มูลค่าหุ้นก็ต้องเป็น 20-30 เท่าแล้ว ของเราอย่างซีพีออลล์อาจจะ 10 เท่าปลายๆ หรือ 20 ต้นๆ ยังไม่มีใครไปได้ถึง 30 เท่าของบริษัทจีน และซีพีออล์ก็จ่ายปันผลออกมาเยอะพอสมควร ทุกคนจ่ายปันผลหมดในระดับที่ใช้ได้ ซีพีกรุ๊ปก็จ่าย ซีพีออล์ก็จ่าย ซีพีฟู้ดก็จ่าย ทุกคนมีปันผลที่น่าสนใจ และต่างชาติเขาก็มองผลตอบแทนจากความเสี่ยงมันคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความเสี่ยง แนวโน้มในการเติบโตและเงินปันผลที่ได้

ผมเชื่อว่าฝรั่งหลายคนที่ได้ตอนนี้ก็เริ่มมองเมืองไทยอย่างเป็นจริงเป็นจัง เพราะหากเงินมันเข้า ขั้นแรกมันเข้า Country fund Thailand Country Fund เริ่มเข้ามาก่อน คนที่มีพวกนี้อย่างเช่นพวกเจเอฟ, กลุ่มจาร์ดีนเฟรมมิ่ง, ฟิเดลลิตี้, อาร์เบอร์ดีน มีไทยฟันด์ ซึ่งจะเริ่มเข้ามาก่อนรอบแรก รอบ 2 จะเป็นพวกเงินในภูมิภาค คือคนที่บริหารเงินจากฮ่องกง สิงคโปร์ ทุนในภูมิภาคก็เริ่มเข้ามาแล้ว รอบสุดท้ายคือพวกกองทุนระดับโลก พวก Global Emerging Market Fund เป็นกองทุนที่มีฐานจากลอนดอน, แฟรงเฟิร์ต, อเมริกา ซึ่งเห็นการไหลที่เริ่มเข้ามา แบงก์ใหญ่ๆ ที่จะได้เงินไหลเข้าอย่างเช่น การประกาศตัวเลขจากแบงก์กรุงเทพ ซึ่งโชว์ให้เห็นว่ามีการเติบโต

ในภาค Corporate Blue chip ผมว่าบริษัทในไทยใหญ่ๆ หลายเจ้ายังต้อง ขยายอีกเยอะ กลุ่มเซ็นทรัล กลุ่มซีพี กลุ่มเหมืองบ้านปู กลุ่ม ปตท. และสาธารณูปโภคซึ่งจะไปทำกับจีน ถึงแม้ท่านอภิสิทธิ์จะเป็นคนไปเริ่มต่อรอง เริ่มเจรจา และเอ็มโอยูจะเซ็นสัญญา รถไฟของเราไม่ได้อัปเกรดมากี่ร้อยปีแล้ว เรามีรถไฟมาก็ไม่เคยเปลี่ยนอะไร ทีนี้ถ้าจะสร้างโดยที่กู้จีนถ้าอยากทำจริง

ทางเราพานักลงทุนไปคุยกับลาวแล้ว ไปขอนแก่น อุดร และไปลาว ไปเจอกับกระทรวงการลงทุนลาว เขาบอกว่าเขาเซ็นเอ็มโอยูกับจีนแล้ว แน่นอนมันอาจใช้เวลา 3-5 ปีในการสร้างรถไฟที่จะลงมาจากรถไฟความเร็วสูงของจีน-ลาว-ไทย แต่มันเป็นประสงค์ที่ว่าตัว การรวมตัวของภูมิภาคมันเกิดขึ้นแน่นอน แล้วจีนก็มีเงินเยอะจริง คือจีนนี่มี กองทุนพัฒนาสาธารณูปโภคที่ให้อาเซียนโดยเฉพาะ แต่ถ้าจีนเขาอยากจ่ายเงิน ใช้เงินจริงเขาทำได้ เงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับจีน

ASTVผู้จัดการ - ดูเหมือนไทยกำลังระวังจีนอยู่มากในการเจรจาเรื่องสิทธิตัวรางรถไฟ และมันก็เป็นประเด็นใหญ่มากที่ไทย-จีนต้องสรุปให้ได้ก่อน แต่ทางไทยยืนยันแล้วว่าเราต้องเป็นเจ้าของไม่ใช่จีน เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศเล็กๆ ที่ต้องขอเงินจากจีนมาช่วยเหมือนลาว เขมร หรือพม่า ที่จีนคิดว่าจะมาทำอะไรกับเราก็ได้

ปริญญ์ - ครับ ใช่ ผมก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่คราวนิ้คือรัฐบาลไทยเราอยากเปิดทางให้จีนไหม ผมคิดว่ารัฐบาลไทยน่าจะอยากร่วมมือ มันจะสร้างตั้งแต่จีนลงมาสิงคโปร์ลงมาเลย์ฯ เลย ค่าขนส่ง หรือแม้แต่คนท่องเที่ยว หรือคนทำธุรกิจชายแดนมันจะถูกลง แต่การเจรจาคงจะอีกยาว เพราะใครจะถือหุ้นเท่าไหร่ไม่ใช่ง่าย คงต้องต่อรองกันอีกนาน ไม่ใช่เรื่องที่จะจบในรัฐบาลนี้ คงเป็นรัฐบาลหน้าที่ต้องเข้ามารับทำต่อแน่นอน

ท่านนายกฯ เราพูดที่เวทีเราที่มาจาก Asian Forum เมื่อกลางเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ท่านมาพูด และเจอนักลงทุนของเรานั่งอยู่ในโต๊ะ 20 กว่าคนของเรา ท่านก็บอกว่าจริงๆ แล้วเอ็มโอยูเริ่มคุยแล้ว มีการศึกษาความเป็นไปได้ทำแล้ว คราวนี้ต้องคุยกันว่าใครจะถืออะไร เราคงต้องถือหุ้นส่วนกันเท่าไหร่ และจะทำ Private Fund, PP กันเท่าไหร่ ใครจะมาทำบ้าง ซึ่งฟังแล้วก็คงจะสิ้นปี

แต่ผมว่า ความตั้งใจก็ต้องอย่างนั้น คงเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันอาจต้องใช้เวลานานเหมือนตอนสร้างบีทีเอส แต่ผมรู้ว่าโครงสร้างพื้นฐาน เขาต้องอัปเกรด เขาไม่มีทางที่จะเลี่ยงได้ และมันก็เป็นสิ่งที่จีนเขามีกำลังต่อรองกับไทยเยอะ และจีนก็เป็นคนที่ช่วยไทยไว้เยอะหลายเรื่อง ไทยก็ส่งออกไปจีนเยอะมาก และส่งออกที่เราโตได้ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เพราะอเมริกาหรือยุโรปแล้ว แต่เราโตได้แบบเต็มที่จากจีน เพราะฉะนั้น จีนเขามีกำลังที่ผมเชื่อว่ารัฐบาลคงต้องพิจารณาจีน อย่างจริงจังนะ จีนเขามีกำลังต่อรองในเรื่องนี้เยอะนะผมว่า



ASTVผู้จัดการ - เมื่อเดือนก่อนอเมริกาก็ประกาศแล้วว่าจะลดนำเข้า และไม่นานจีนก็มาประกาศเหมือนกันว่าจะลดนำเข้าด้วย มองว่า มันจะกระเทือนเราแรงขนาดไหน

ปริญญ์ -ครับ ใช่ แต่เศรษฐกิจจีนปีนี้คงชะลอตัวลงช้ากว่าปีก่อนๆ อยู่แล้ว มันจะกระทบเราแน่นอนคือเราคงโตน้อยลง เพราะการส่งออกของเราที่จะไปจีนคงลดลง แต่ปีที่แล้วเราโตเยอะมากเกือบเป็นเลขสองหลัก ตลาดจีนที่ยังเติบโตเพราะชิ้นส่วนบางอย่างที่ไทยส่งไปให้จีน อย่างพวกแผงวงจรไฟฟ้า จีนก็ Re-export ให้อเมริกาไปประกอบต่อ

แต่เรื่องว่าทางอเมริกา อย่าง วอลล์มาร์ทไปแหล่งที่อื่นถูกกว่าจีนมีอีกไหมในโลกนี้ในเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ ผมว่ายังหายากอยู่นะ คือแน่นอนวอลล์มาร์ทมีทางเลือกที่จะไปประเทศอื่นได้ อย่าลืมว่าบริษัทที่มีขนาดเท่ากับวอลล์มาร์ท ไม่ได้ต้องการแค่ปริมาณ แต่ต้องการความน่าเชื่อถือว่าเขาต้องการของที่ได้แน่

วอลล์มาร์ทเขาทำกับจีนมากี่ปีแล้ว ผมจะแปลกใจมากถ้าวอลล์มาร์ทจะเดินออกจากโต๊ะ และต่อรองกับจีนว่าอเมริกาจะสั่งน้อยลง วอลล์มาร์ทสั่งน้อยลง LI&FUNG เป็นเทรดดิ้งคอมปานีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผมไม่เชื่อเลย ผมคุยกับ LI&FUNG แล้ว Victor K. Fung ที่เป็นเจ้าของและรู้จักกันดี เขาบอกเลยว่าอย่างไรซะวอลล์มาร์ทก็ถูกมัดมือชก ต้องยอมขึ้นค่าจ้างแรงงานในจีน ยอมเสียมาร์จินน้อยลง และต้องยอมรับจากจีนอยู่ดี ขั้นต้นนะคือขั้นที่การจัดสรรทรัพยากรที่มีวอลลุมใหญ่ขนาดนี้ มีความน่าเชื่อถือที่ใหญ่ขนาดนี้ และสเปกที่วอลล์มาร์ทอยากได้ มันไม่มีทางที่จะไปที่อื่นได้ คือ โอเค จีนอาจต้องถูกกดดันจากอเมริกาบางเรื่อง

แต่ถ้าอเมริกามันก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะในอเมริกาเขาโต 2 แนวทาง คือ บริษัทเขาโตเร็วมากแต่ หนี้ภาคครัวเรือนก็โตมากด้วย ส่วนตัวการบริโภคในครัวเรือนน้อยลง แต่ตัวภาคธุรกิจไอ้พวกจะ อัปเกรดฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ อะไรบางอย่างมันก็ยังขายได้ และ Gadget บางอย่างก็ยังขายดี อย่างแอปเปิลก็ผลิตในจีน ในไต้หวันหมด ผมว่าบริษัทพวกนี้รายได้ยังโตอยู่จากที่เรา ปิดมันไม่ได้ ชะลดแต่อาจจะชะลอบางเรื่องที่อเมริกาเล็งอยู่ ซึ่งก็น่าจะเป็นสินค้าเกษตรบางตัวที่เขายังเถียงกัน บางอย่างที่อเมริกาทั้งนำเข้าและผลิตเองด้วย จีนส่งออกเกษตรไป จีนอยากจะไปส่งออกแร่ธาตุบางอย่าง ซึ่งบางทีอเมริกาก็ชะลอตรงนั้น

ส่วนของเล่นจากจีนบางทีอเมริกาก็หาเรื่องไปแหล่งจากที่อื่นได้ที่ไม่ได้ทำจากจีน และก็มาผลักดันเรื่องภาษีแต่ผมคิดว่าอเมริกาจะหาที่แหล่งจากที่อื่นที่จะถูกกว่าจีนนี่เป็นเรื่องยาก คือมันต้องทั้งปริมาณและเวลาด้วย บริษัทอย่างวอลล์มาร์ท แอปเปิล ไม่ได้แคร์แค่เรื่องนี้ แต่เขาต้องมีทั้งคุณภาพและปริมาณด้วย

ทางอเมริกาเขากังวลว่าจีนซื้อพันธบัตรของอเมริกาไว้เยอะมาก ซึ่งจีนถืออยู่ก็จริง แต่ก็เป็นการถือซึ่งกันและกัน คือมันค้ำค้านกันอยู่ว่าเงินหยวนแข็งเกินไป แต่ทางจีนก็ถือเงินดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯ เต็มที่เลย จีนก็ไม่ได้อยากให้เงินแข็งและอ่อนไปกว่าอเมริกามากนักหรอก เพราะจริงๆ แล้วเงินของจีนก็แข็งค่ามานาน และก็มากพอแล้ว

ตอนนี้โอบามาเขาเริ่มรู้ตัวแล้ว คืออเมริกาเคยเป็นมหาอำนาจเดี่ยวตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 50 ปีไม่เคยมีใครมาท้าทายญี่ปุ่นอาจเคยมาท้าทายอยู่ช่วงหนึ่ง แต่พอปี 1970-1980 แต่ตอนนี้ก็เริ่มลงมา แต่จีนเป็นประเทศเดียวตอนนี้ อินเดียอาจเป็นประเทศหนึ่งแต่เทคโนโลยีก็อาจจะยังค่อนข้างล้าหลังอยู่ จีนจึงเป็นประเทศเดียวที่เขาทราบว่าสามารถมีกำลังทั้งทางด้านเศรษฐกิจและทางทหารที่จะสู้อเมริกาได้ เพราะจีนเข้ามามีอิทธิพลเหนืออเมริกาในอาเซียนมากขึ้น และเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาขอร่วมประชุมกับผู้นำอาเซียนแบบตัวต่อตัวซึ่งไม่เคยมีประธานาธิบดีอเมริกาคนใดในประวัติศาสตร์จะเคยทำแบบนี้

ทางอเมริกาคงต้องถดถอยแน่ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจอเมริกาด้วยปัญหาหนี้ที่มีมากขนาดนี้จากการเอาหนี้ไปโปะหนี้เพื่อแก้ปัญหาระยะสั้น หนี้ต่อจีดีพี ตอนนี้ 500 กว่าเปอร์เซ็นต์ มันไม่ยั่งยืนอย่างแน่นอน ระยะสั้นเขาใส่สภาพคล่องทาง FED เพราะไม่มีทางเลือกอะไร เขาเห็นประสบการณ์ของญี่ปุ่นมาแล้ว เขาทำ QE 2 ซึ่งดูเหมือนจะไม่สำเร็จ เพราะการเติบโตของเครดิตในอเมริกามันไม่มี โดยเห็นได้จากไม่มีกู้ยืม แต่เอาเงินไปเก็บเป็นทุนสำรอง หรือ ทุนสำรองพิเศษ

ดังนั้น การเติบโตของเงินกู้ยืมในอเมริกาจึงแทบจะไม่มี พอการเติบโตของเงินกู้ยืมไม่มี ตัว Broad money growth (การขยายตัวของปริมาณเงินตามความหมายกว้าง) ก็ไม่มีด้วย ประกอบด้วยราคาบ้านไม่ขึ้นหรือโตน้อยมาก รายได้ คนจริงๆ ก็ไม่เพิ่มขึ้น และมันก็เป็นฟองสบู่ มาหลายปี เพราะฉะนั้นแนวโน้มราคาบ้าน ยังไงมันก็ตกลงอยู่แล้ว และกำลังซื้อคนมันก็ตกลงด้วย อเมริกาจะฟื้นตัวยังคงต้องใช้เวลาอีกหลายปีแน่นอน คงจะไม่ได้จบ

เมื่อนักลงทุนส่วนใหญ่มองกันอย่างนี้แล้วระยะสั้นที่จะเห็นเงินมันไหลจากเอเชียกลับไปอเมริกาบ้าง เพราะว่าราคาหุ้นทางอเมริกากำลังถูกมากเมื่อประมาณ 6 เดือนที่แล้ว หุ้นบางตัวอย่างยูนิลีเวอร์, ฮิวเล็ตแพกการ์ด, แคลล็อกซ์ และอเมริกายังมีเทคโนโลยี ยังมีซอฟแวร์ ยังมีเครดิต อยู่ เพราะฉะนั้น คนจึงเริ่มไหลกันไปซื้อหุ้น อย่าง อเมซอน

แต่ตอนนี้ผมว่าหุ้นอเมริกาเริ่มมีราคาแพงแล้ว ทั้งการไหลเวียนที่กลับมา หรือ ข้อเสนอที่ CLSA ได้รับจากเอเชียทุกวันมันชัดเจนมากๆ ว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าต้องกลับมาเอเชียแน่นอน และตอนนี้ก็เริ่มกลับมาแล้วบ้าง แต่ไปเจอเรื่องของญี่ปุ่นคนเลยหยุดไปชั่วคราว เพราะมีความเสี่ยงอันนี้เกิดขึ้นจึงไม่อยากทำอะไร รอก่อน

แต่ผมว่าทุกคนเริ่มทำงานกันเพื่อดูว่าหุ้นในเอเชียตัวไหนถูก ตลาดไหนถูก ตลาดจีนชะลอมา 2 ปีกว่าแล้ว ปีนี้เป็นปีที่ 3 ตลาดจีนก็ยังไม่ Perform คนเขาเลยมองกันว่าจีนไม่ Perform เพราะอะไร เรื่องเงินเฟ้อ รัฐบาลมาแทรกแซงเรื่องเศรษฐกิจ จีนจริงๆ นี่โตเร็วมาก 10 กว่าเปอร์เซ็นต์มาตลอดเวลา แต่ 10 ปีหลังมันเป็น Acceptable Growth รัฐบาลจึงปล่อยกู้เต็มที่ ปล่อยสภาพคล่องจากรัฐวิสาหกิจ รัฐบาลเป็นเจ้าของแบงก์ส่วนใหญ่

ตอนนี้รัฐบาลบอกชัดเจนแล้วว่าขั้นแรกเขาไม่ต้องการให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้ ขั้นที่สองเขาก็บอกว่าเขาจะแก้ไขปัญหาเงินเฟ้ออย่างจริงจังโดยให้แบงก์ปล่อยกู้น้อยลง เพราะฉะนั้นแค่ 3 ตัวนี้ไม่ว่าจะเรื่องที่ดิน เรื่องเงินเฟ้อ เรื่องปล่อยกู้น้อยลง แน่นอนเศรษฐกิจจีนต้องชะลอตัวลง

แต่ถามว่าชะลอแล้วยังโตดีไหม ยังโตดีมาก คือชะลอแล้วก็ยังโต 8-9 เปอร์เซ็นต์ได้ปีนี้ คือมันเป็นการโตที่ปกติมันไม่ใช่ Super-Boom หรือ Boom Phrase หรือ Highest Growth Phase มันเป็น Normalized phase of growth และก่อนวิกฤตเขาใส่สภาพคล่อง และใส่มาตรการพิเศษเข้าไปเมื่อปี 2008 เพื่อให้จีนไม่ฟุบ พอจีนไม่ฟุบก็ทำให้มันโตต่อไปได้ด้วยความรุนแรง แต่ตอนนี้จีนเขาเห็นแล้วว่ามันมากเกินไปสำหรับเงินเฟ้อ เขาก็แค่ทำให้มันปกติผมว่าตลาดจีนพอถึงกลางปีนี้คนคงจะกลับมาซื้อหุ้นแบงก์จีน แต่ตลาดไทยผมว่าน่าจะโอเคนะปีนี้ถ้าเกิดผ่านการเลือกตั้งแล้วไม่วุ่นวาย

ASTVผู้จัดการ - ถ้าตลาดหุ้นจีนดีขึ้นแล้วตลาดหุ้นไทยจะเป็นยังไง ต่างชาติยังรู้สึกว่าไทยน่าสนใจเหมือนเดิมหรือเปล่า หรือจะขายทางนี้ไปซื้อทางโน้นมากขึ้น

ปริญญ์ - คือตลาดไทยมันเล็กมากคือเวลาคนมองจะมองว่าขายไทยไปซื้อจีน แต่มันเป็นไปไม่ได้ อีกอย่างกองทุนเขาก็แยกกัน เขามี Asian Fund ก็ลงทุนใน Asian กลุ่มเพื่อนบ้านเรา ที่ว่าเขาว่ามีการย้ายกองทุน ขายไทยทิ้งไปซื้อจีนกันเถอะ ไปซื้อไต้หวัน จีน ถูกกว่าเยอะ ความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น

คือการไหลของเงินทุน ที่มันเวิร์คจริงๆ แล้วกองทุนมันมีหลายสไตล์ แต่สไตล์ พวก Long Money เขาทำก็เวทตาม MSCI เขาสามารถเลือกได้ อย่างเมืองไทยเขาเวทแค่ 2 เปอร์เซ็นต์กว่า แต่ถ้าคิดว่าเขาจะโอเวอร์เวท ไทยเรา 25 เปอร์เซ็นต์ เขาก็โอเวอร์เวทได้ถ้าเขาอยากจะโอเวอร์เวท

ผมเชื่อว่าการไหลของทุน มันซับซ้อน มากกว่าการพูดกันเรียบๆ ว่าวันนี้ขายไทยไปซื้อจีน เพราะไทยเล็กมากมาร์เกตแคปมัน 2 เปอร์เซ็นต์กว่า แต่จีนมัน 17 เปอร์เซ็นต์ของ MSCI เลยนะ มันจึงไม่มีทางเลยที่คนจะขาย 2 เปอร์เซ็นต์ไปซื้อ 17 เปอร์เซ็นต์ มันเป็นไปไม่ได้ และการไหลของทุนต่างชาติที่เห็นเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดไทยจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่อย่าง Templeton ที่ซื้อเยอะและก็อยู่นานจริง แบบพวกนั้นมันซื้อน้อย แต่เจ้าใหญ่ๆ อย่าง Templeton อย่าง Capital น่ะซื้อจริงและก็อยู่จริง เพราะพวกนี้มุมมองเขา 3-5 ปี เขาซื้อแล้วก็ทิ้งไว้ แต่พวกที่เข้ามาแรกๆ เป็นพวกที่ซื้อแล้วก็ขาย ไม่ได้เป็นพวกที่ซื้อแล้วก็อยู่นานจริง

ASTVผู้จัดการ - กำลังจะหมด Q1 ตอนนี้ 1000 จุดแล้ว Q2 มองหุ้นไทยอย่างไร

ปริญญ์ - จริงๆ CLSA ตั้งเป้าปีนี้ 1,400 จุดนะ ซึ่ง Aggressive มาก ขึ้นตั้ง 40 เปอร์เซ็นต์ เพราะเราว่าภาคธุรกิจที่เขา Bullish (เติบโต) กันมาก... ต้องบอก 2-3 ประเด็นก่อนคือประเด็นแรกเรา Bullish ในเรื่องราคาน้ำมัน และภาคพลังงานยังถูกอยู่ มองว่า ปตท. ซื้อขายที่ 35 เปอร์เซ็นต์ Discount NAV มันถูกมากเมื่อไปมองที่ธุรกิจดาวน์สตรีมของธุรกิจปิโตรเคมี อย่าง ปตท. เคมิคอล, ปตท. อะโรเมติกส์ หรือแม้กระทั่งไทยออยล์ ผลผลิตจากการกลั่นหรือพาราไซรีน หรือของ ปตท.สผ. ซึ่งราคาน้ำมันตอนนี้ก็สูงขึ้นมา

ความจริงแล้วตอนนี้ ปตท. ตัวแม่ควรจะได้ผลรับที่ดีมากกว่านี้ แต่ทำไมหุ้นไม่ไปไหนเลย หุ้น ปตท. และปตท. สผ. คนจึงมองว่าอาจจะยังขึ้นได้อีก และไทยออยล์เราก็ชอบมาก และยิ่งมีปัญหา ประเด็นที่ญี่ปุ่นเรื่องไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตน้อยลง ไทยออยล์จะได้รับผลประโยชน์เต็มๆ ในเรื่องอุปสงค์และอุปทาน แต่ไม่ใช่ว่าไทยออยล์จะไปขายญี่ปุ่นมากขึ้น เพราะทางไทยไม่ได้ขายญี่ปุ่นโดยตรงอยู่แล้วเรื่องผลผลิตจากการกลั่นแต่อุปสงค์และอุปทานมันจะบีบมากขึ้นซึ่งจะทำให้ผลประกอบการไทยออยล์ดีขึ้นแน่

และน้ำมันเรามองว่าสูงต่อเพราะ 3 ประเด็นหลักๆ คือแม้โอเปกจะไม่ต้องการให้ราคาน้ำมันสูงมากเกินไป แต่โอเปกเป็นองค์กรที่เวลาน้ำมันเริ่มเคลื่อนตัวขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ค่อยชอบออกมาแทรกแซงเท่าไหร่ เขามักจะชอบแทรกแซงเวลาที่มันตกแรงๆ 30 (เหรียญสหรัฐฯ) นี่เขาจะแทรกแซงรุนแรงมาก แต่เวลาที่มันขึ้น 100 กว่า 100 ต้น โอเปกจะยินดีมาก 100-110 (เหรียญสหรัฐฯ) เขาอยู่ได้ แต่แน่นอนเขาไม่อยากให้เกิน 120-130 (เหรียญสหรัฐฯ)มันเริ่มมากไปแล้ว

แต่หากเอาน้ำมันแต่ 110-120 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปตท.สผ. กำไรปีนี้ได้จากทั้งการเติบโตของวอลลูมจากมอนทารา ออสเตรเลีย ได้การเติบโตของวอลลูมจากเวียดนาม M&A เขาก็จะทำ และ ปตท.สผ. อาจจะทำ Rights issue อาจจะมี Placement ใหญ่ๆ ออกมา ที่เขาทำเป็นจุดของจังหวะที่ดี เพราะราคาน้ำมันปีนี้มีโอกาสสูงที่มันจะสูงขึ้นไปได้ เรามองขั้นแรกคือหุ้นพลังงานยังถูก ซึ่งมันจะเป็น Influence Index เพราะราคาเป้าหมายของ ปตท. และ ปตท.สผ. มันน่าจะขึ้นไปอย่างต่ำๆ ก็ 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ และของ ปตท.สผ. ด้วยก็จะเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเราให้เป้าหมาย ปตท.สผ.สูงมาก แค่ 2 ตัวนี้เท่านั้นเอง

สำหรับหุ้นแบงก์ ผมคิดว่าแบงก์หลายเจ้ากำลังเข้ามาส่งสัญญาณว่าปีนี้จะได้เห็น Corporate Demand กลับมาจริง เมื่อ Corporateกลับมาจริงเป็นครั้งแรกในรอบ 15-17 ปี ทางนักวิเคราะห์ของธนาคารเขามองว่าเป็นครั้งแรกที่การเติบโตของเงินกู้จะโตในระดับเลขสองหลักคือจะมีการเติบโตด้านการกู้ยืมจากทาง Corporate เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง M& A เรื่องการขยายกำลังการผลิต เรื่องการกลับมาของ Replacement Cycle

ประเด็นที่ 2 คือ Net Interest Margin ที่จะมีมากขึ้น จากที่หลายบริษัทต้องการขยายก็คิดว่ามาร์จินที่แบงก์จะ Make on loan ยังเพิ่มขึ้นอยู่ คิดว่า โปรดักส์ใหม่ๆ สำหรับพวกแบงก์ที่จะขายประกัน ในประเทศไทยเรามาถึงจุดที่เป็น Inflection Point ของจีดีพีต่อหัวเกือบๆ 4,000 เหรียญสหรัฐฯ มันจะมีความต้องการใช้จ่ายในเรื่องระบบตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Social Safety Net) ที่สูงขึ้น รัฐบาลก็แปรรูปเรื่องนี้แล้ว และเรื่อง Social Safety Net ก็เป็นประเด็นทางสังคมหลักที่นายกฯ พูดไปแล้วเช่นกัน

เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าตัวอุปสงค์ของโปรดักส์ของธนาคาร กับ โปรดักส์ด้านการประกันของธนาคาร จะสูงขึ้นแน่นอน การเติบโตของรายได้จากค่าธรรมเนียม ก็จะมีทั้งมาร์จินและการเติบโตของเงินกู้ แล้วการเติบโตของรายได้จากค่าธรรมเนียมเรื่อง Cost/Income Ration ดูเหมือนจะเริ่มโตกันแล้วด้วยอย่าง KBank ที่ใช้งบประมาณตัวที่เป็น K Transformation Program มาตั้ง 5 ปีดูเหมือนจะมาพีคเอาปลายปีนี้ ถ้า Cost/Income Ration บางแบงก์เริ่ม พีคอย่าง SCB คุณกรรณิการ์ (ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ) ก็ใช้งบในเรื่องแบรนด์และก็ลงทุนมาตลอด
Cost/Income Ration ก็จะพีคสัก 55-58 เปอร์เซ็นต์ พอมันพีคแล้วมันก็อาจจะเริ่มลง และการทำกำไรของแบงก์ก็จะดีขึ้นด้วย เพราะมันมีตัวขับเคลื่อนหลายตัวที่เข้ามา และยังจ่ายผลตอบแทนได้อีก และยังจ่ายปันผลได้ดี

ของแบงก์กรุงเทพซื้อขาย 1.3 เท่าของบุ๊คมันยังถูกมากเมื่อเทียบกับแบงก์ระดับภูมิภาค อย่างแบงก์ทางไต้หวันเทรดกัน 2 เท่า ของจีนถึงแม้จะถูกแต่ก็เทรดสูงถึง 1.6 เท่า ไทยเราจริงๆ เรามี Growth National มากกว่า และไม่มีรัฐบาลแทรกแซงเรื่องการเพิ่มหรือลดการปล่อยกู้ของแบงก์เหมือนจีนที่ทำให้บางทีคนมักไม่ค่อยชอบแบงก์จีนซึ่งถูกควบคุมโดยรัฐบาล ราคาหุ้นแบงก์ไทยเราค่อนข้างจะถูก เพราะสามารถปล่อยกู้ได้ และยังมีระบบป้องกันความเสี่ยงที่ดี อย่าง KBank หรือ SCB และเป็นการแข่งขันที่ Rational บ้าง แม้ SCB จะมีทำ Pricing มีการตัดอะไรกันในเวลาที่อัตราดอกเบี้ยขึ้น แบงก์ SCB ก็เริ่มรู้ตัวและเข้ามาแข่งขันมากขึ้นบ้าง เขาเลยมองพวก Bullish bank มาก เมื่อขึ้น Bullish 2 sectors ที่ใหญ่ที่สุดในตลาดไทย

ประกอบกับรายได้ในชนบท ซึ่งทางภาคการบริโภค ของเรามีท็อปบายคือโฮมโปร ซีพีออลล์ เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ และโรบินสัน 4 ตัวนี้ที่ Cover หลักๆ ซึ่งตัวนักวิเคราะห์เขาชอบมาก และหุ้นพวกนี้ก็เป็น ท็อปพิค ท็อปบาย ของพวกเขา ส่วนโรบินสันมีข้อดีที่ตรงไหน ผมเห็นว่าราคามันถูกและกำลังจะขยายสาขาในต่างจังหวัด จะเห็นได้ว่าแต่ก่อนภาพลักษณ์ของโรบินสันจะเป็นแบบว่าเก่าๆ เหมือนอันที่อยู่บนถนนสุขุมวิท 19 แต่ในต่างจังหวัดสภาพจะไม่ใช่แบบนี้ เพราะจะมีความใหม่กว่า มีคนเดินกันแน่น รายได้ก็น่าจะได้ โรบินสันไปเปิดคู่กับบิ๊กซี ซึ่งเซ็นทรัลก็ถือหุ้นส่วนหนึ่งในโรบินสันอยู่แล้วเขาก็เลยไปด้วยกันกับบิ๊กซี ผมว่าเวิร์คนะ

แล้วเราอาจจะ Cover เบอร์ลี่ยุคเกอร์ ซึ่งตอนนี้เรายังไม่ได้ Cover เป็นหุ้น Consumer ที่ลูกค้าฝรั่งถามถึงเยอะในตอนนี้สำหรับหุ้นตัวนี้ เพราะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับการบริโคและยังถูกอยู่คือ 11 เท่าของ P/E จ่าย yield 4 เปอร์เซ็นต์ และคุณอัศวินที่เป็นประธานเริ่มทำโรดโชว์ครั้งแรก เราพาไปโรดโชว์ฮ่องกงครั้งแรกเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ไปโรดโชว์ในต่างประเทศ และเริ่มเจอนักลงทุนมากขึ้น และก็น่าจะไปสิงคโปร์อีกทีเดือนหน้า เผอิญว่าเขาโตอย่างมีเสถียรภาพ เขาจะ Apply เขาจะไม่ Approach ด้วยเพราะเขาพลาดกับดีลคาร์ฟูที่บิ๊กซีได้ไป เขาคงไปมุ่งเป้าอื่นที่เหลืออยู่ในเมืองไทย และเขาคงต้องมีดีลที่เกิดขึ้นภายในปีนี้แน่นอน

ทางไทยไปทางเวียดนามเยอะ เพราะค่าเงินเริ่มลดค่าลงและคิดว่าคงต้องลดลงอีก และทางเมเจอร์ฯ ก็จะไปซื้อโรงหนังใหญ่สุดในเวียดนามอีก อันนี้เป็นส่วนที่มีการเติบโตสูงของเมเจอร์อีกอันหนึ่ง คนที่นั่นเริ่มมีรายได้มากขึ้น และปกติเมื่อคนมีรายได้มากขึ้นก็ใช้จ่ายอยู่ 2 อย่างคือ ท่องเที่ยว และ พักผ่อนหย่อนใจ ถ้าเรื่องความสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในเมืองไทยมีกี่เจ้าบ้าง

แต่เมืองไทยปัญหาคือ มีอุปทานของโรงแรมที่ล้นเกิน อย่าง MINT ก็เริ่มไปซื้อที่ออสเตรเลียแล้วเพราะ MINT มีเงิน ธุรกิจพวกนี้มันเป็นธุรกิจที่น่าสนใจเพราะแนวโน้มในอีก 3 ปีข้างหน้าคือ การเชื่อมโยงในภูมิภาค และ สาธารณูปโภคในระดับภูมิภาค อาจจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เราคุยกันเรื่องจะสร้างโน่นสร้างนี่ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานาน แต่เป็นเรื่องที่เขาต้องทำ เพราะนี่เป็นความตั้งใจของทุกรัฐบาลว่าเขามีเงินที่จะลงทุนจริง

และจีนก็ใช้จ่ายในเรื่องของการบูรณาการภูมิภาค เรื่องระบบขนส่ง เรื่องการท่องเที่ยว เพราะจีนมีประชากร 1,200 ล้านคน (ปัจจุบัน 1,360 ล้านคน - บรรณาธิการ) ทุกคนมีรายได้เพิ่มขึ้น และ Weight Growth โตขนาดนี้แล้วจะทำอะไร

เราสำรวจมาแล้วขั้นแรกของการใช้จ่าย คือ ท่องเที่ยว อาจจะมีเรื่องโทรศัพท์มือถือ ซื้อทีวี เครื่องซักผ้า ซื้ออะไรที่เป็นเครื่องใช้จำเป็นภายในบ้าน ตรงนั้นก็ยังโตได้อีกเยอะ ขั้นต่อไปเขาท่องเที่ยว ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มแล้ว อย่างเช่น ไต้หวัน ญี่ปุ่นเคยเยอะสุด แต่ตอนนี้จีนคือ 25 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวที่ไปไต้หวัน ไทยเราก็เช่นกันแต่ก่อนญี่ปุ่นหรือสแกนดิเนเวียเยอะสุด อนาคตคนจีนก็เริ่มจะเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงสุด คนจีนเป็นคนที่มีเงินเยอะและก็ใช้จ่ายจริง แม้จะมีกลุ่มทัวร์ราคาถูกก็ตาม

คือถ้าเราได้เจอผู้บริหารรัฐบาลจีนจริงๆ จีนจะเป็นพวกที่ Passive สุด เขาเอาคนที่เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้า เรื่องการดูแลสุขภาพ เข้ามาเป็นรัฐมนตรี เพื่อปรับปรุงสิ่งเหล่านี้ให้ดีขึ้นได้จริงๆ ถึงแม้คนจะด่าว่าจีนมีเรื่องโกงกิน แน่นอนทุกรัฐบาลในเอเชียมันต้องมีอยู่แล้ว แต่จีนน่ากลัวตรงที่ว่าเขาเอาคนที่เก่งจริงเข้ามาในรัฐบาลกลาง แต่ที่มันมีปัญหาคือคนที่อยู่ในรัฐบาลท้องถิ่นที่ทำให้เกิดปัญหาหนี้เสียหรือการโกงกินกันบ้างจากการที่ต้องแข่งกันต่อสู้กันเพื่อเข้าสู่รัฐบาลกลาง ซึ่งมันก็เป็นการต่อสู้กันทางกำลังภายในของ 2 ส่วนนี้

ASTVผู้จัดการ- ถ้าดัชนีเป็น 1,400 ทิศทางที่มองหมายความว่า Q2 หรือกลางปีนี้มันก็ต้องขึ้นสักประมาณ 1,100 จุดหรือ 1,200 จุด

ปริญญ์ - ตลาดไทยค่อนข้างแกว่งอยู่อย่างเดียวคือราคาน้ำมัน ถ้ามันพีคกระฉูดแบบกระเด้งขึ้นมาจริงแล้วกำลังซื้อมันจะหด เพราะไทยใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ แถมนโยบายการใช้พลังงานไทยไม่มีมานานแล้ว รัฐบาลไหนก็ไม่มีใครกล้าทำเพราะมีผลประโยชน์ที่กลัวกันอยู่ ไม่มีใครทำนโยบายพลังงาน

แน่นอนว่าเศรษฐกิจโตเราต้องใช้พลังงานถ่านหิน ใช้น้ำมัน หรือใช้อะไร แต่ใช้ในแง่ประสิทธิภาพ คือไม่ต้องไปถึงขั้นใหม่หมด เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะมาแทนที่ถ่านหิน แทนที่น้ำมันได้หมด แต่คุณต้องวิธีการใช้ หรือเครื่องมือเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพต่อการใช้พลังงาน อย่างเรื่องง่ายๆ เช่นถนนหนทางที่ต้องใช้พลังงานที่มันมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เพราะฉะนั้นถ้าน้ำมันไม่ราคาพุ่งขึ้นไปจริง อย่างแย่เลยไทยก็ต้องโตอย่างต่ำๆ 4 เปอร์เซ็นต์ของจีดีดี แต่ก็ใช่ว่ามันไม่ถือว่าเราโตเพราะเงินเฟ้อจะเกิน แต่ที่ต่างชาติยังสงสัยมากสุดคือรัฐบาลจะอยู่ได้จริงไหม และจะดำเนินนโยบายที่ทำให้ Private sector compliance และกลับมาลงทุนต่อไปได้ ถ้ารัฐบาลอยู่ต่อแล้ว ทำให้เกิดความเชื่อมั่นได้ และตอนนี้ทุกคนก็รอ เพราะในภูมิภาคหุ้นไทยก็ไม่ได้ถือว่าถูกมากแม้ราคาจะตกลงก็ตาม อย่างจีนแม้จะลงมาบ้างแต่ก็ยังไม่ถือว่าถูก และปัญหาเงินเฟ้ออย่างที่อินเดียก็แรงมาก

ส่วนหุ้นในตลาดอินโดนีเซียก็ถือว่ายังแพง เมื่อดูแล้วก็ยิ่งแพงกว่าไทย หุ้นมาเลเซียก็แพงและก็ไม่มีการเติบโตเกิดขึ้นจริง ส่วนสิงคโปร์นี่การเติบโตก็ไม่ค่อยมี เพราะฉะนั้นตอนนี้มันเหลือแค่ 2-3 ประเทศที่โตได้คือไต้หวันซึ่งจะดีมากในปีนี้ เพราะการส่งออกชิ้นส่วนบางอย่างไปอเมริกายังถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก และปีนี้ไต้หวันจะมีเรื่องการเชื่อมโยงเงินทุนที่ลงทุนร่วมกับจีนเพื่อเปิดประเทศมากขึ้น และจีนก็เปิดรับไต้หวันมากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นการลงทุนระหว่างประเทศจีน-ไต้หวันปีนี้ยังถูกและไปได้อีกเยอะ ส่วนเกาหลีตอนนี้ก็ถูกมาก ซึ่งจริงๆ แล้วตลาดหุ้นเกาหลี ไต้หวัน และไทย เป็นตลาดหุ้นที่ผมชอบมากที่สุดในปีนี้



ASTVผู้จัดการ - ที่บอกว่าตอนนี้มี fund flow กลับไปอยู่อเมริกา และคาดว่า 6 เดือนจะกลับมาในเอเชีย...

ปริญญ์ - ผมว่า 6 เดือนจะเริ่มเห็น และตอนนี้เราเริ่มเห็นแล้ว เพราะหุ้นอเมริกาตอนนี้มันเริ่มแพงแล้ว คือมันมี Spectacle Adjust the P/E อเมริกาเคยเทรด 13 เท่าเมื่อ 7-8 เดือนที่แล้ว และจาก 13 เท่ากลายเป็น 23 เท่า หุ้นอเมริกาที่ขึ้นมาเทรดกันวันนี้ไม่ถูกเลย และในอเมริกาถ้าราคาน้ำมันยิ่งสูงมันก็ยิ่งแย่ด้วย เพราะการบริโภคของอเมริกาก็จะโดน Track เพราะมันเหมือน Track on Consumption คนอเมริกาบริโภคน้ำมันเยอะมาก ผมคิดว่าถ้าความตึงตัวของราคาน้ำมันยังสูง อเมริกาไม่พอใจแน่นอน แล้วที่พูดไปว่าตัว Broad Money Growth และ Credit Growth ในอเมริกาไม่มี

แต่ยังไงก็ตามคิดว่าทาง FED อาจจะไม่ทำ QE3 แต่จะให้มี Roll Over ของตัวบอนด์ซึ่งจะทำให้มันมีการซื้อต่อไปได้ หรือทำให้เกิดกระบวนการลงทุนใหม่ที่ได้มาจาก QE 2 ตอนนั้นต่อไปได้ ยังหนักในอเมริกา ผมคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อคนทราบว่า QE2 มันล้มเหลวแล้วทางอเมริกาจะทำยังไงต่อไป เพราะมันติดกับแล้ว

ส่วน การขาดดุลการคลังก็ยังสูงมาก ปัญหาหนี้ ปัญหาอะไร ไม่ใช่ง่าย ทุกคนคงกลับมาเอเชียซึ่งเป็นการเติบโตในเชิงโครงสร้าง คือ การเติบโตมันอยู่ที่เอเชีย เพราะการบริโภคในจีนนี่มันใหญ่มาก คือจีนเขากำลังได้ประชากรที่ไม่ได้เติบโตในสมัยที่การปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรมที่พ่อแม่เขาเติบโตมาแล้วเจ็บปวด

เพราะฉะนั้น จิตวิทยาของคนจีนในการซื้อขายสินค้าของคนรุ่นใหม่ที่เริ่มทำงานอายุประมาณ 20 ปลายๆ ถึง 30 ต้นๆ มันจะเปลี่ยนไปเลย ทางจิตวิทยาเขาจะจับจ่ายตามใจ ไม่มีห่วงโน่นห่วงนี่ เหมือนพ่อแม่เขาที่จะมากลัวเรื่องการปฏิวัติ เพราะฉะนั้น รูปแบบการใช้จ่ายของกลุ่มคนจีนที่เป็นประชากรรุ่นใหม่ จะเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด ตัวสินค้าฟุ่มเฟือย การใช้จ่ายในเรื่องเกินจำเป็น มันจะโตขึ้นแน่นอน และก็จะไปกับการใช้จ่ายเรื่องท่องเที่ยว

การค้าขายซื้อของออนไลน์ของจีนก็ดีมาก แต่เมืองไทยยังไปไม่ถึงขนาดนั้น เว็บไซต์ซื้อของออนไลน์ของจีนก็บูมมาก คือเขา บล็อกเฟซบุ๊ค, กูเกิล เขามีออนไลน์ อิควิตี้, อีคอมเมิร์ซขายของกันเยอะมาก เขาขายเป็น B2B อีคอมเมิร์ซด้วย B2C และ C2C ด้วย เขามีครบหมดและการเติบโตตรงนี้เขาก็มี

ผมว่าประเทศเอเชียเพิ่งจะเริ่มต้นเข้าสู่วงจรการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดูได้จากสัดส่วนต่อจีดีพีโลกของจีนเมื่อ 10-15 ปีก่อนมันแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ ญี่ปุ่นเคยพีคที่เกือบ 17 เปอร์เซ็นต์ของส่วนแบ่งจีดีพีโลกแต่ตอนนี้ตกลงมาเหลือแค่ 6 หรือ 7 เปอร์เซ็นต์ จีนตอนนี้คือแซงหน้าญี่ปุ่นแล้วหลังจากเพิ่งจะมาแมตช์กัน ตอนนี้จีนก็เพิ่งผ่านในเชิงของจีดีพี ประเทศในเอเชีย ผมว่า ....

แต่การเติบโตมันไม่เหมือนกันนะ ต้องยอมรับอยู่อย่างว่าจีนประชากรจะเริ่มแก่แล้วในอีก 5 ปีข้างหน้า ลักษณะประชากรของจีนจะเหมือนญี่ปุ่นเลยในสมัยปี 1990 ที่คนเริ่มแก่ตัวและต้องหาคนมาคอยดูแล จีนถึงแคร์มากกับเรื่อง Social Safety Net เรื่องความมั่นคง เรื่องความสงบสุขของประเทศ และการมีกินมีอยู่ของประชากร และจีนก็ลงทุนไว้เยอะมากในเรื่องประกันภัย แต่เขามีเรื่องการทำให้เป็นเมือง (Urbanization) เพราะจีนมันมีการอัปเกรดเมืองในระดับสอง, ระดับสาม, ระดับสี่ ไม่ใช่แค่ที่เมืองปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ที่โต แต่มันมีเมืองอื่นๆ ที่โตด้วยเช่นกัน อย่าง เฉิงตู เซินเจิ้น เมืองระดับสอง ระดับสามที่โตมาได้ยังมีอีกมากและกำลังซื้อเขาสูงจริงๆ

ผมคิดว่าวงจรของการใช้จ่าย คือ 10 ปีที่ผ่านมาเอเชียเป็น Exporter of Last Resource คือเป็น The Cheapest of Exporters มันต้องมีการ Rebalance Recalling เกิดขึ้น คือมันจะไม่เกิดขึ้นแล้วที่ทางฝั่งผู้ออม เอเชียก็ออม และก็ออม ตลอด และทางฝั่งยุโรปใช้จ่ายตลอดและก็ ยกระดับลักษณะการใช้จ่าย คือเป็นลักษณะการใช้หนี้คือ ใช้หนี้บัตรเครดิต ส่วนบริษัทก็ใช้หนี้ธนาคาร มีการเติบโตของการกู้ยืม มีอะไรในยุโรป ในช่วง 10 กว่าปีที่ทำมาก็souhเต็มที่ในยุโรป เอเชียก็ออม มันต้องมีความสมดุล ตอนนี้ทั้งภาครัฐและบริษัท ทางเอเชียแทบจะไม่ยกระดับเลย หรือยกก็น้อยมาก เพราะฉะนั้นการเติบโตตรงนี้ผมเห็นว่ายังอยู่ในจุดเริ่มต้น ยังเป็น Tipping Point และ GDP per capita ในอินเดียก็ต่ำมาก

อินเดีย Growing Low Base แต่ในขณะที่โตเร็วแบบนี้มันเร่งเร็วมาก เพราะฉะนั้น เป็น Hyper growth ตอนนี้อินเดียกับจีนเป็นผู้บริโภคที่ใหญ่น้ำมันที่ใหญ่ที่สุดคือเป็น 2 ประเทศที่รวมกันซื้อขายน้ำมันเยอะสุดแล้ว อุปสงค์น้ำมันสูงสุด ผมเชื่อว่าตอนนี้มันยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นมากที่เอเชียจะบูม ยังมีสัดส่วนต่อจีดีพีโลกได้อีกเยอะ เพราะทางยุโรปและอเมริกาก็ต้อง Leverage Debt ลงมาซึ่งเป็นกระบวนการที่เขาเริ่มทำบ้างแล้ว

ตัวอย่างชีวิตจริงของคนอเมริกา ของคนยุโรป ตอนนี้ทุกคนอยากหางานทำในเอเชีย ไม่มีใครอยากอยู่ที่โน่น เพราะรู้ว่าภาษีจะขึ้น และรัฐบาลจะเข้ามาคุมเรื่องอะไรต่อมิอะไร รัฐบาลจะเข้ามาควบคุมการจ่ายโบนัส การควบคุมในยุโรปก็ต้องสูงขึ้นแน่นอน มันจะไม่ใช่ตลาดเสรีอีกแล้ว เพราะฉะนั้นสมองคนที่เก่งๆ จะเริ่มไหลมาเอเชีย และก็ไหลมาจริงๆ แล้ว ฝรั่งมาทำงานที่ฮ่องกง จีน เซี่ยงไฮ้ นี่เยอะมาก และเราก็เริ่มที่จะเห็นแนวโน้มชัด ซึ่งมันจะผลักให้ราคาอสังหาฯ ขึ้นไปด้วย ราคาบ้าน ราคาค่าเช่าอะไร ไอ้ตัวสภาพคล่องจาก QE1 และQE 2 ก็จะเริ่มไหลเข้ามา

คือรัฐบาลอเมริกาเขาคิดว่าเขาปั๊มเงินเข้าไปเขาปั๊มได้ แต่เขาเลือกไม่ได้ว่าเมื่อปั๊มแล้วเงินจะไปไหน เมื่อปั๊มออกมาแล้วเงินมันจะไปเป็นทางเลือกของเขาแล้วว่าเงินนั้นต้องไหลไปสู่แหล่งที่มีการเติบโตสูงที่สุดในโลก และแหล่งนั้นก็คือเอเซีย ซึ่งมันไม่มีใครสงสัยตรงนี้ เพียงแต่แค่ในระยะสั้นคนก็แค่กลัวว่าเงินเฟ้อในเอเชียมันแรงกว่าที่อื่นในโลก เมื่อแรงกว่ารัฐบาลแต่ละรัฐบาลในเอเชียต้องก้าวเข้ามาทำอะไรบ้างอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยหรือ การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน หรือ ควบคุมการไหลเวียนของทุน บางคนพูดถึงอย่างนั้น แต่อันนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ถ้ามันสุดขั้วจริงมันคงต้องมีคนทำงานได้

แต่พอขึ้นดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ เงินเฟ้อมันเกิน 4 เปอร์เซ็นต์ คือทุกคนก็กลัวเรื่องการแทรกแซงระยะสั้น ในเรื่องพวกนี้ เพราะฉะนั้นคนก็เลยเอาเงินออกไปอเมริกา แต่พอเอาออกไปจนจบ ราคาหุ้นอเมริกาก็ขึ้นมาจนถึงจุดหนึ่งแล้ว ขึ้นมาเยอะนะ ผมคิดว่าหุ้น S& P มันขึ้นมาเท่าตัวแล้ว คือขึ้นมาถึงเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์นับจากในเวลาที่เกิดวิกฤตในปี 2008 เพราะฉะนั้นการฟื้นตัวมันเร็วมาก

ASTVผู้จัดการ - ส่วนใหญ่คนมองว่ารอบที่แล้วแบงก์ชาติไม่ควรรีบขึ้นดอกเบี้ย แล้วทาง CLSA มองยังไง หรือแปลความการส่งสัญญาณถึงตลาดจากทางแบงก์ชาติยังไง

ปริญญ์ - สำหรับเมืองไทยผมมองว่าจริงๆ ดอกเบี้ยไม่ควรขึ้นมากไปกว่านี้ แต่ก็สามารถขึ้นได้อีกนิดหน่อยก็ได้ แต่หากเขาจะออกแพลน มาทำอะไรบางอย่าง เช่น มาคอยควบคุมราคา อะไรบางอย่าง แต่ก็ใช่ครับ เศรษฐกิจไทยจริงๆ ไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยขนาดนั้น และเขาก็ขึ้นไปก่อนหน้านั้นแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วฝรั่งชอบนะเรื่องนี้ เหมือนกับว่ามันเป็นการบริหารแบบอนุรักษ์นิยม ฝรั่งที่มองไทยเขามองแบบเรียบๆ ไงว่าประเทศนี้ภาวะเงินเฟ้อ ต้องมาแน่

คือคนไทยเองมองบ้านเราเองอาจคิดว่าอย่าขึ้นเลยเพราะเรายังมีสภาพคล่องเยอะ แต่ฝรั่งกลับมองว่าแบงก์ชาติอนุรักษ์นิยมดี ดำเนินการไว้ก่อน เขาชอบใครที่ Hawkish และ Pro-Active ไว้ก่อนอย่างนี้จะดี ดูอย่างอินโดนีเซียไม่ขึ้น 2 ครั้งหุ้นถูกเทขายภายใน 1-2 วัน เพราะอินโดนีเซียคิดเหมือนเราคือไม่ต้องต้องขึ้นหรอกดอกเบี้ย ยังมี Capacity และเงินเฟ้อยังไม่แรง Core-inflation ก็ยังต่ำ เขามองแค่ Core ไม่สูง แต่ Headline มันวิ่งไปแล้ว ผมคิดว่าดอกเบี้ยไทยถ้ามองแบบ Aggressive มองทั้งมุมมองจากภาครัฐ ผมยังมองว่าน่าจะขึ้นอีก 1 เปอร์เซ็นต์ภายใน 1 ปี ก็คือกลับไปเป็นปกติที่ 3.5 จากตอนแรกที่ตั้งปกติไว้ที่ 2.5 ซึ่งถ้า growth มันโตขึ้นมาจริงๆ แล้วผมว่าอาจจะโอเคนะ 3.5

ส่วนการส่งสัญญาณดอกเบี้ยครั้งล่าสุดของแบงก์ชาติ ผมคิดว่าเขาน่าจะต้องการ Manage flow as expectation จริงๆ Flow Expectation มันเป็น Inflation ของเงินเฟ้อ คือเขาคงไม่ต้องการให้คนคาดหมายไปว่าราคามันจะขึ้น แต่ถ้าคุณ Dump Expectation ได้ก่อนคุณจะชนะไปเกือบครึ่งแล้ว ผมเชื่อว่าแบงก์ชาติต้องการจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าหากคุณจะรบกับเงินเฟ้อได้ คุณต้อง Manage expectation of inflation ได้มากกว่า ถ้าคุณบริหารได้คุณก็จะรักษาสภาพได้มากกว่า นั่นคือสิ่งที่แบงก์ชาติส่งสัญญาณมามากกว่า จริงๆ ผมก็อยากจะพาพวกแบงก์ชาติไปเจอพวกนักลงทุนต่างชาติ แต่ ดร. ประสาร (ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่า ธปท.) ก็ยังไม่ยอมไปเสียที

ดร.ประสารตอนสมัยอยู่ที่ KBank ผมเจอแกบ่อยมาก แกน่ารัก นิสัยดีมาก พูดนุ่มนวล ต่างชาติชอบ แต่แกเผลอไปพูด 2-3 ทีก่อนแกจะเป็นผู้ว่า แต่แกก็ติดตามเรื่องและทำจริงนะ เพราะแกพูดว่าแกจะขึ้นดอกเบี้ย แกก็ขึ้นจริงๆ คือฝรั่งชอบเพราะไปพูดว่าจะขึ้นและก็ขึ้นจริง ฝรั่งเขาชอบที่ขึ้นดอกเบี้ย และเขาก็มองในแง่บวกนะ เพราะเขามองว่า Thailand stays ahead the curve และคิดว่าแบงก์ชาติ Stays ahead the curve เพราะทุกคนมองว่า เงินฟ้อปัญหาไม่จบ เป็นอะไรที่พวกเราคุยกัน เพราะราคาสินค้าเกษตรตอนนี้จะขึ้นต่อแน่นอน ราคาน้ำมันตอนนี้ก็มีสิทธิที่จะสูงมากกว่านี้ได้อีก ราคาค่าจ้างงานสูงขึ้นแน่นอน เพราะฉะนั้นแนวโน้มยังไงๆ เงินเฟ้อมันจะสูงขึ้น

คือตอนนี้มันยังไม่พีคไง มันอาจจะไปพีคที่ 5 เปอร์เซ็นต์กว่าในจีนสักเดือน เม.ย. หรือ พ.ค. คือถ้าหากมองเรื่องหุ้นในตอนนี้นะ เรื่องปัญหาเงินเฟ้อให้มอง 2 อย่างคือ แอคชั่นในเอเชียทั้งหมด เวลาที่คุยกับนักลงทุนทั้งหมดเขาจะมองกัน 3-4 ตัวเลขคือ CPI ในจีนว่าจะออกเท่าไหร่ เขาหวังกันว่าจะพีค 5 เปอร์เซ็นต์ในเดือน เม.ย. ถ้าเป็นไปตามนี้ผมว่าหุ้นเอเชียวิ่งแน่นอน เพราะมันจะแปลว่ารัฐบาลจีนจะเริ่ม relax เรื่องการปล่อยกู้มากขึ้น จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยนั่นคือเขาจะเริ่มมีโทนที่จะออกมาผ่อนคลายมากขึ้น แต่ตอนนี้คือโทนยังไม่ผ่อนคลายอาจจะ Relax Title น้อยลง แต่ก็ยังไม่ Relax รัฐบาลจีนเขาแสวงหาพวกนี้ เขาดูราคาที่ดินในจีนแล้ว ราคาอสังหาฯ ปริมาณการซื้อขาย ซึ่งตอนนี้สัญญาณดีมาก ปริมาณน้อยลง และราคาเริ่มนิ่งแล้ว ซึ่งมันเป็นสัญญาณ ที่ดีถ้าราคาที่ดินเริ่มลงปริมาณซื้อขายไม่เยอะ ราคาบ้านไม่โตมากนัก รัฐบาลจีนก็ไม่ต้องใส่ยาอื่นที่จะทำให้มันรุนแรงขึ้นไปได้อีกก็จะดีกับหุ้นในเอเชีย

ผมมองว่าตลาดหุ้นไต้หวันจะดี เพราะปีนี้เขาจะมี... คือตอนนี้ไต้หวันโดนเรื่องห่วงโซ่การผลิตจากที่ญี่ปุ่นมีปัญหา ซึ่งอาจทำให้สินค้าที่ส่งออกไปยังอเมริกาชะลอตัวในระยะสั้นได้ แต่ว่าทางไต้หวันกับจีนตอนนี้มันมีเรื่องการเชื่อมโยงของการลงทุน ที่ว่าครอบครัวของไต้หวันสมัยก่อนอพยพไปอยู่ในจีนเยอะมากและเข้าไปทำธุรกิจทำอะไรกันในจีน แล้วจีนก็ไม่เคยช่วยไต้หวัน ไม่เคยลงทุนในไต้หวัน ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกันไต้หวัน และก็เกือบจะยิงมิสซายส์ใส่กัน ตอนนี้ก็เริ่มกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ คือจีนชัดเจนว่าจะลงทุนมากขึ้น ซื้อบริษัทไต้หวันส่งไชน่า โมบาย ไปซื้อไต้หวัน เทเลคอม และดูว่าจะซื้อแบงก์ไหนไหม ชัดเจน

ส่วนทางไต้หวันเองก็ผ่อนคลายในเรื่องการเอาเงินจากคนไต้หวันที่ไปรวยและเก่งอยู่ในต่างประเทศเยอะมาก ก็เริ่มปล่อยให้คนพวกนี้เอาเงินกลับมาได้โดยไม่ต้องคิดภาษี เพราะฉะนั้นจึงมีเงินทุนไหลเข้ากลับไปยังไต้หวันจริง และการสร้างบ้านในไต้หวัน อสังหาฯ ราคาที่ดินถูกและเริ่มขยับขึ้น เพราะพวกญาติๆ ของไต้หวันที่อยู่ในจีนเริ่มเข้ามาซื้อบ้านหลังที่สอง อาจจะไม่ได้กลับมาอยู่อย่างถาวร แต่อย่างน้อยก็ใช้พักร้อนได้ และตอนนี้การเดินทางก็เป็นปกติระหว่างจีนกับไต้หวันจากเมื่อก่อนที่จีนกลับไต้หวันไม่ได้ และก็เช่นเดียวกันที่ไต้หวันก็เข้าจีนยาก

ตอนนี้ทั้งธุรกิจ ทั้งการบินและการท่องเที่ยว มันเริ่มเสรีมากขึ้นแล้ว และเขาเริ่มเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น กิจกรรม ในการซื้อขายสินค้าหรือท่องเที่ยวทุกอย่างมันเพิ่มขึ้นแน่นอน และทางไต้หวันจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภาชุดใหม่ต้นปีหน้า เขาต้องมีนโยบายการกระตุ้น แน่นอนเหมือนไทย เพราะทางไต้หวันยังต้องอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานอีกเยอะมาก

อย่างสนามบินที่ไต้หวันที่ตอนนี้เก่ายิ่งกว่าสนามบินของลาวหรือพม่า สนามบินของพม่าดีกว่าไต้หวันเป็นไปได้ไง สนามบินไต้หวันที่เป็นสนามบินนานาชาติ โอเคเขามีเทอร์มินอลใหม่เล็กๆ อีกอันหนึ่งแต่เทอร์มินอลที่ใหญ่สุดก็เก่าแก่มากแล้ว และต้องอัปเกรดอีกเยอะมาก เขาก็มีแผนการลงทุน เป็น R-twelve เป็นอะไรระยะสั้น โดยรวมไต้หวันยังต้องยกระดับโครงสร้างพื้นฐานอีกเยอะ และจะมีจีนมาช่วยสร้าง ช่วยอะไร การเลือกตั้งในไต้หวันมันเป็นการเลือกพรรคการเมือง 2 พรรค จริงๆ แล้วคนที่แอนตี้จีนอีกเยอะก็ยังมีอยู่นะ แต่ตอนนี้พรรคที่โปรจีนเขายังได้เป็นรัฐบาลอยู่ทุกอย่างก็เลยดีขึ้น

ASTVผู้จัดการ - แล้วที่ทางญี่ปุ่นที่มีปัญหามันจะกระทบกันภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียแค่ไหน

ปริญญ์ - ผมกลับมองว่าจริงๆ แล้วญี่ปุ่นเป็นตลาดที่ผลได้ในเชิงที่ ... คือจริงๆ Asset Inflation หรือ Inflation ในเอเชียนี่ญี่ปุ่นได้รับเต็มที่สุด เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ต้องการเงินเฟ้อมากที่สุด คราวนี้คือจะมีอะไรก็ได้ที่กระตุ้นให้ญี่ปุ่นใช้จ่าย กระตุ้นให้คนญี่ปุ่นลุกออกมาใช้จ่าย ลงมาอัปเกรดลงมาทำอะไร การที่เกิดแผ่นดินไหว ระยะยาวจะเป็นข้อดีที่เกิดขึ้นมาจากความเสียหายหรือโอกาสในหายนะ การที่ญี่ปุ่นต้องมาสร้างใหม่ มันจะมีภาคธุรกิจ ที่ได้ประโยชน์แน่ๆ อย่างพวกการก่อสร้าง, ซีเมนต์, เหล็ก, เฟอร์นิเจอร์, การก่อสร้างที่เกี่ยวกับที่ดินและการก่อสร้างบ้านใหม่พวกนี้

แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นและมันก็ทำให้เกิดปัญหาหนึ่งกับเอเชียคือเรื่องนิวเคลียร์ เพราะเป้าหมาย เรื่องการปล่อยคาร์บอน ที่จีนและหลายๆ ประเทศกำลังจะเข้าเป้า การจะลดการใช้คาร์บอน มันอาจจะทำให้เข้าเป้าได้ยากขึ้น เพราะตอนแรกจีนเขามีเป้าหมายที่ aggressive มากในการใช้นิวเคลียร์ให้เป็นแหล่งสนับสนุนด้านพลังงาน ของเขา 10-20 เปอร์เซ็นต์ คือเขาจะลดถ่านหินซึ่งอาจถือว่าไม่สะอาด ต้องลดน้ำมัน และต้องมีนิวเคลียร์มาสนับสนุนแทน แน่นอนลมกับแสงอาทิตย์อาจช่วยได้บ้าง แต่เป็นอะไรที่ไม่แน่นอนและพึ่งพาไม่ได้เต็มที่ แต่นิวเคลียร์เป็นพลังงานที่พึ่งพาได้มากที่สุดแม้อาจจะไม่ใช่ปลอดภัยที่สุดก็ตาม

จริงๆ แล้วทางจีนตอนแรกอันดับเขาขึ้นเร็วมาก และก็สั่งซื้อพวกยูเรเนียมจากออสเตรเลียเยอะมาก จะสังเกตุได้ว่าหุ้นกลุ่มยูเรเนียมของออสเตรเลียตกกันหมดเลยตอนนี้ เพราะจีนเขาเลื่อนแผน ทางยุโรปก็เลื่อนแผน ออกไปด้วย หุ้นทางออสเตรเลียก็เลยตกลง ตรงนี้มันจะทำให้เกิดจุดที่การจะเข้าเป้า ไอ้ตัวภาวะโลกร้อนก็อาจทำได้ช้าลง และทำให้ธุรกิจถ่านหินดีขึ้นทั้งเอเชีย

หุ้นบริษัทถ่านหินเริ่มขึ้นแล้ว อย่าง บ้านปู หรือหุ้นบริษัทถ่านหินของบริษัทในอินโดนีเซีย หรือของที่บ้านปูไปถือหุ้นอยู่ด้วย เพราะแม้คนเราจะพยายามหาทรัพยากรใหม่ หรือจะพยายามหานิวเคลียร์ ลม โซล่าร์ น้ำ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ตัวทรัพยากร ที่ใช้ได้ถูกที่สุด มีประสิทธิภาพที่สุดที่จะผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นการเติบโต ก็คือถ่านหินอยู่ดี เมื่อวันก่อนที่ผมเพิ่งทำตัวเลขขึ้นมาเราพบว่ามีคนอีกมหาศาลในเอเชียที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่งยังต้องใช้ถ่านหินอีกเยอะ

ถามว่าญี่ปุ่นกระทบเอเชียมากไหม ผมว่าไม่น่าจะเยอะนะ อาจมีกระทบการส่งออกนิดหน่อย แต่เมืองไทยเรากระทบน้อยมากเลย เพราะอาจจะมีการเลื่อนโครงการบางอัน แต่เท่าที่คุยกับบริษัทมามันไม่ได้เยอะขนาดนั้น ผมคิดว่าเผลอๆ บางบริษัทจะดีขึ้นด้วย อย่างเช่น SNC ที่ได้ออเดอร์จากไดกิ้นมากขึ้น ไดกิ้นทำแอร์ SNC ส่งทั้งท่อแอร์ให้เขาก็ได้ outsource มากขึ้น คือไดกิ้นที่ญี่ปุ่นเขา outsource เยอะ เขาก็ต้อง outsource ให้เมืองไทยทำมากขึ้นมากขึ้น กลับกลายเป็นว่าบางอย่างก็ต้องมา outsource ในเมืองไทยเพิ่มขึ้นเพื่อทำการผลิตให้เร็วขึ้น

เมื่อกี้ที่ผมพูดเรื่องอุตสาหกรรมการกลั่น, ปิโตรเคมี มาร์จินมันสูงขึ้นแน่นอน เพราะ กำลังการผลิตใหญ่ของญี่ปุ่นที่มีเรื่องพาราไซลีน และอื่นๆ ตอนนี้กำลังการผลิตเขาลดลงฮวบไปเลยซึ่งมัน 5 เปอร์เซ็นต์ของ global supply ที่มันหายไป ประเทศอย่างไต้หวัน, เกาหลี ได้ไปก่อนเต็มๆ เพราะเขาผลิตใส่ญี่ปุ่นโดยตรง ไทยเราก็เป็น second beneficiary คือ demand, supply spared มันจะบีบขึ้น แต่ไทยอย่าง TUF เขาบอกว่า อุปสงค์ส่งออกเขาเพิ่มขึ้น

ปีนี้รายรับบริษัท SNC จะดีมากเลย แต่ราคาหุ้นขึ้นมาจาก 5 บาท จะ 20 บาท แล้ว ยิ่งญี่ปุ่นเป็นอย่างนี้แล้ว รายรับปีนี้เขาจะดีมากเลยคือ รายรับ SMC ปีนี้ไม่ธรรมดาแน่แล้ว yield 7- 8 เปอร์เซนต์ แล้วต่างชาติก็ยังไม่ค่อยรู้จัก และผมจะพาเขาไปโรดโชว์ที่ฮ่องกง สิงคโปร์

คือจริงๆ ผมพยายามจะหาบริษัทที่ต่างชาติไม่ค่อยรู้จัก คือจริงๆ บ้านเรามีธุรกิจหลายธุรกิจที่น่าสนใจและเป็นจุดแข็งของประเทศ แต่ต่างชาติบางคนก็ซื้อหุ้นพวกนี้ไม่ได้ เพราะเล็กไป หรือ สภาพคล่องน้อยไป แต่ตอนนี้ฝรั่ง อย่าง ฟิเดลลิตี้หรือแคปิตอล ถ้ามีระยะยาวมากขึ้นเขาถือ 5 ปี เขาไม่กลัวอะไร ยกตัวอย่างๆ ไดนาสตี้ เซรามิกส์ คุณรุ่งโรจน์ แสงศาสตรา ที่เป็นผู้ก่อตั้ง ผมพาไปโรดโชว์ครั้งแรกเมื่อ 5 ปีที่แล้วปี 2005

อย่างไดนาสตี้ เซรามิกส์ เมื่อก่อนคนซื้อไม่ได้เลย พอเริ่มขึ้นคนก็มาซื้อกันแล้ว มาซื้อกันตอนมันขึ้นไป 5 เท่าแล้ว หรือ IBL บริษัทที่ดีมาก ตั้งแต่ 3 บาท ตั้งแต่สมัยผมอยู่ดอยช์แบงก์ ผมกับทิสโก้ก็พาไปเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว แต่ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครอยากเจอ เจอน้อยมาก พาไปต่างชาติ 3 บาทไม่ซื้อ พอ 60 บาทอยากจะเจอกัน คือฝรั่งบางทีเราคุยกับเขา ฝรั่งความรู้เรื่องการลงทุนน้อย คนไทยนักลงทุนรายย่อยบางคนเสียอีกที่ฉลาด เล่นหุ้น และรู้หุ้นไทยดีกว่าฝรั่ง บางทีคนไทยบางคนก็คิดว่าไทยต้องตามฝรั่ง ต้องเข้าตามฝรั่ง

ASTVผู้จัดการ - ถ้าให้ focus ว่านักลงทุนต่างชาติมองหุ้นไทยที่นอกเหนือจากพลังงานและแบงก์ ยังมีตัวไหนอีกไหมที่เขากำลังให้ความสนใจกัน

ปริญญ์ - ต่างชาติจริงๆ แล้วพลังงานกับแบงก์คนเริ่มรู้จักหุ้นกันดีอยู่แล้ว แต่ภาคที่ฝรั่งเขาเริ่มมาศึกษามากขึ้นมันเป็นภาคที่เล็กลงมา อย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์ เพราะเดี๋ยวจะมี LH Bank จะลิสต์ใช่ไหม ซึ่งเราหวังว่าจะได้ลิสต์ มันอาจจะไม่ใหญ่มากแค่ 500 กว่าล้านเหรียญ แต่มันก็เป็นอะไรที่ทำให้ต่างชาติจะหันกลับมามองบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของเมืองไทยเรา

จริงๆ หลายบริษัทยังถูกมาก อย่างถ้าพูดถึงบริษัทอย่างควอลิตี้ เฮาส์ ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะขายหลังสวน คอนโดฯ ได้ยากแต่ก็ยังเทรดกันแค่ 9 เท่าของพีอีปีนี้แล้ว yield ตั้ง 7 เปอร์เซ็นต์ผมว่าควอลิตี้ เฮาส์ ถูกมากเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่เขามี เขามีสิทธิ์ในโฮมโปรเขาจะออกโฮมโปร 20 เปอร์เซ็นต์ เขาถือ LH Bank ถ้าเกิด LH Bank list ผมว่าคนจะกลับมามองภาคนี้แน่นอน LPN, พฤกษา เป็นผู้นำในตลาดล่างและคนก็ยังชอบอยู่

หุ้น 2 ตัวนี้ฝรั่งชอบมาก เวลามาขอ financial model เรา 2 ตัวนี้ก็เป็นตัวที่ฝรั่งเขาทำการบ้านมากที่สุดตอนนี้ และแลนด์แอนด์เฮาส์เป็นบริษัทใหญ่แต่ราคาก็ไม่ได้ถูกที่สุด คือจริงๆ แลนด์ฯ ปีนี้จะโตดีมากนะ แต่เขาไม่ค่อยชอบไปโรดโชว์ พฤกษา LPN จริงๆ แล้วก็ไม่ไปนะ พวกนี้ไปน้อย คนที่ไปโรดโชว์ตอนนี้มีแต่แสนสิริที่ไปมา ฝรั่งยังไม่ค่อยเท่าไหร่กับแสนสิริ แต่แสนสิริเริ่มทำมากขึ้น แสนสิริเป็นหุ้นที่น่าสนใจเพราะอะไร ผมฟันธงเลยว่า 99 จาก 100 จะบอกว่าไม่ชอบหุ้นแสนสิริ เพราะเขาคิดว่าคงไม่มีโอกาสหรอกมั๊ง เวลาที่เราให้ฝรั่งซื้อหุ้นอะไรเราก็พยายามให้ซื้อหุ้นที่คนยังไม่ชอบเพราะมันจะพลิก เวลาที่ฝรั่งเขาให้เราแนะนำอะไรเขาต้องการขอที่แน่ใจว่าจะโตติดต่อกันอย่างแน่นอน อย่าง ซีพีออลล์ปีนี้จะโต 20 เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้ชอบ แต่หุ้นมันแพงเพราะคนมันรู้จักหมดแล้ว แต่อย่างแสนสิรินี่ตรงกันข้ามคือเกือบทุกคนจะไม่ชอบ และก็จะไม่รู้จักเท่าไหร่

ผมว่า Natural Growth ของอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยมันยังไปได้อีก เพราะมันยังเป็นช่วงเริ่มต้น ที่คนซึ่งเคยอยู่กับพ่อกับแม่เริ่มไม่เอาแล้ว แต่อยากเริ่มมาซื้อบ้านเดี่ยวอยู่เอง ทำงานก็เริ่มมีรายได้ขึ้น เพราะแสนสิริมัน Build Brand เป็น... เสียเยอะ มันเป็นไม่ได้ เพราะมันเป็นหุ้นที่คนเกลียดกันมากที่สุดแล้ว

ธุรกิจจริงๆ ในเมืองไทยที่ตอนนี้คนอยากซื้อกันมากๆ คือเป็นอะไรที่เกี่ยวกับ ภาคบริการ อย่างเช่นเรื่องโรงพยาบาล หรือพวกภาคธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ หุ้นตอนนี้ก็ไม่ได้ถูกแล้ว และหุ้นก็ไม่ได้มีสภาพคล่องมาก บางกอก ดุสิต แมดิคอล ก็วิ่งมาสวยงามตั้งแต่ 10 กว่าบาทมาจน 50 กว่าบาทแล้วมั๊งตอนนี้ บำรุงราษฏร์ก็ไม่โต มันเป็นอะไรบางตัวที่เขาชอบ แต่ก็คิดว่าบางอันอาจจะแพงไป ส่วนเอราวัณตอนนี้หุ้นดีมากเลย แบบว่าตอนนี้คือมันถูกมาก บ้านปูเป็น Natural Growth Rate เขาโตได้อย่างสบายๆ เลยนะ 20 เปอร์เซ็นต์ บ้านปูนี่การบริหารก็ดีด้วย เขามีสินทรัพย์ในจีนที่ดีมากซึ่งถือว่า ต่ำกว่ามูลค่าจริงมาก ตรงนั้นนักวิเคราะห์เริ่มไปดูกันมาก จริงๆ ไทยเราโชคดีนะที่มีทั้ง กลุ่มทรัพยากร, ธนาคาร, อสังหาริมทรัพย์
กำลังโหลดความคิดเห็น