xs
xsm
sm
md
lg

หวั่นซันโตรี่ฮั้วกลุ่มเป๊ปซี่ครอบงำกิจการ ร้อง TSD ชะลอรับหุ้น SSC

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ศิริวัฒน์ แซนวิช” อ้างสิทธิในการถือหุ้น บมจ.เสริมสุข (SSC) ยื่นหนังสือถึงตลาดหลักทรัพย์ ศูนย์รับฝาก NVDR และ ก.ล.ต.ตรวจสอบการได้มาในหุ้น SSC ของ “เอสบีเค เบฟเวอเรจ” ที่รับโอนมาจาก Suntory จำนวน 9.13% ชี้ เป็น NVDR ที่กำลังจะแปลงกายเป็นหุ้นปกติ แถมพบข้อสงสัยสองยักษ์ต่างชาติ Suntory และ เป๊ปซี่ อาจร่วมมือกันครอบงำกิจการด้วยสัดส่วนถือหุ้นรวมกันกว่า 50% กลายเป็นผู้มีเสียงโหวตมากสุด และมีผลต่อการดำเนินธุรกิจของ SSC วอนขอศูนย์รับฝากฯชะลอรับจดทะเบียนหุ้น ด้าน ก.ล.ต.ยอมรับกำลังตรวจสอบการเกี่ยวโยง ส่วน SSC แจงข้อพิพาทศาลนัดสืบพยานกันยายนนี้

นายศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ อ้างสิทธิ์ในฐานะผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) หรือ SSC โดยถือหุ้นจำนวน 100 หุ้น กล่าวว่าวานนี้ (30 มี.ค.) ตนได้ยื่นหนังสือร้องเรียนถึงการกระทำและพฤติกรรมที่น่าจะผิดกฎหมาย และขอให้ดำเนินการทางกฎหมายโดยเร่งด่วนแก่ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กรรมการและผู้จัดการ บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเอ็นดีวีอาร์ จำกัด เพื่อพิจารณาตรวจสอบพฤติกรรมการโอนหุ้นของบริษัท Suntory Beverage & Food Limited ที่โอนให้กับ บริษัท เอส บีเค เบฟเวอเรจ จำกัด (บริษัทย่อยของตนเองที่มีสิทธิในเสียงกว่า 90%) ในการพยายามร่วมกันครอบงำกิจการของ SSC ซึ่งเชื่อว่ามีพฤติกรรมและการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะพบว่าปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา มีการโอนหุ้นที่เดิมอยู่ในรูปแบบ NVDR (ได้รับผลประโยชน์ในรูปแบบเงินปันผล แต่ไม่มีสิทธิ์ในการออกเสียง) จาก Suntory มาให้บริษัท เอสบีเคฯ ในราคา 55 บาท รวม 9.13% คิดเป็นเงินประมาณ 1,300 ล้านบาท ซึ่งหากนำมารวมกับหุ้นของกลุ่มเป๊ปซี่ จะทำให้กลุ่มนี้มีสัดส่วนถือหุ้นใน SSC เกิน 50% และถือเป็นเสียงข้างมากในการประชุมซึ่งจะผลต่อการดำเนินธุรกิจของSSC อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการประชุมสามัญประจำปีของSSC ที่จะจัดขึ้นปลายเดือนเม.ย.นี้ ที่จะพิจารณาวาระต่างๆตามกฏหมาย รวมทั้งวาระพิจารณากรรมการที่ครบวาระและที่ลาออก รวม 6 ราย

“การกระทำครั้งนี้หากเป็นร่วมมือกันของกลุ่ม Suntory และกลุ่มเป๊ปซี่ ก็อาจเกิดเหตุการณ์ยึดบอร์ดหรือยึดบริษัท เสริมสุข ได้เช่นกัน เพราะการที่เปลี่ยนจากNVDR มาเป็นหุ้นก็เพื่อต้องการจะได้มีสิทธิในการออกเสียง จึงอยากให้ TSD ชะลอรับจัดทะเบียนในหุ้น 9.13% ของบริษัท เอสบีเคฯ ออกไปก่อน”

ทั้งนี้ นายศิริวัฒน์ ชี้แจงเพิ่มเติมถึงเหตุที่ทำให้เชื่อว่า ทั้งกลุ่ม Suntory และกลุ่มเป๊ปซี่จะร่วมมือกัน เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีความใกล้ชิดทั้งในฐานะของผู้ร่วมลงทุน และเป็นผู้ให้/ผู้รับอนุญาตระหว่างกลุ่มของธุรกิจต่างๆ ในหลายประเทศ ดังนั้น การที่ Suntory ผ่านบริษัท เอสบีเคฯ เข้ามาถือหุ้น SSC จึงมีพฤติกรรมที่น่าเชื่อว่าร่วมมือกันกับกลุ่มเป๊ปซี่ เพื่อครอบงำกิจการเพื่อใช้SSC ดำเนินการเพื่อให้ประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยไม่สนใจว่าประโยชน์นั้นเป็นประโยชน์ส่วนรวมของบริษัทและผู้ถือหุ้นทั้งหมด

จึงอยากให้ทุกหน่วยงานที่ตนยื่นหนังสือร้องเรียนตรวจสอบพฤติกรรมและการกระทำที่น่าจะผิดกฎหมายการ Acting In Concert หรือการได้มาซึ่งหุ้นที่ไม่ถูกกฏหมายตั้งแต่ต้น ย่อมไม่มีสิทธิ์ในการถือหุ้น และถูกจำหน่ายออกไป และนายทะเบียนต้องไม่รับจดทะเบียนเป็นผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นการขัดจริยธรรมหรือจรรยาบรรณของการทำธุรกิจด้วย และหากไม่มีการตรวจสอบตนจะยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ รมว.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการ ก.ล.ต.ต่อไป

**ก.ล.ต.ชี้ อยู่ระหว่างตรวจสอบ
ด้าน นายธวัชชัย พิทยโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายงานเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต.ได้รับหนังสือร้องเรียนจากนาย ศิริวัฒน์ผู้ถือหุ้นรายย่อยของ SSC แล้ว ซึ่งทาง ก.ล.ต.จะมีการดำเนินการตามกรอบอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยยอมรับว่า ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการตรวจสอบในเรื่องความสัมพันธ์ของโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ SSC จากที่มีผู้ถือหุ้นหลายรายเกี่ยวข้องกัน ตามข้อเท็จจริงเดียวกันกับที่นักลงทุนรายย่อยยื่นหนังสือร้องเรียน

**SSC ยื่นค้านคำร้องกลุ่มเป๊ปซี่
ด้าน บมจ.เสริมสุข ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯในเรื่องดังกล่าว ว่า เมื่อวันที่ 28 มี.ค.SSC ได้รับคำร้องลงวันที่ 14 มี.ค.ของบริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งได้ยื่นต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ 862/2554ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2554 และศาลได้นัดไต่สวนคำร้องในวันที่ 30 พ.ค.54 พฤษภาคม 2554

ทั้งนี้ ผู้ร้องเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัท ในวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2554 ถือหุ้นจำนวนประมาณร้อยละ 24.94 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด (ปัจจุบันถือหุ้นประมาณร้อยละ 25.20) เป็นบริษัทย่อยของบริษัท เป๊ปซี่-โค อิงค์ (Pepsi Co Inc.) และเป็นผู้จำหน่ายวัตถุดิบ หรือส่วนผสมที่ใช้ในการผลิตน้ำอัดลม (หัวน้ำเชื้อ หรือ Concentrates) ภายใต้สัญญา Exclusive Bottling Appointment Agreement (EBA) ระหว่างบริษัท กับกลุ่มเป๊ปซี่ให้กับบริษัท และเป็นคู่สัญญาความร่วมมือด้านโฆษณาและการตลาด (Agreement for Cooperative Advertisingand Marketing Agreement หรือ “Co-Op”) กับบริษัท

โดยในคำร้องระบุว่าในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2554 วาระที่ 3 บริษัทได้นำเรื่องสองเรื่อง กล่าวคือ การอนุมัติผลการเจรจาแก้ไขสัญญาระหว่างบริษัท กับเป๊ปซี่ หรือการอนุมัติให้บริษัทดำเนินการตามแผนธุรกิจในอนาคต มารวมพิจารณาเป็นวาระเดียว ทั้งๆ ที่ทั้งสองเรื่องไม่มีความเกี่ยวข้องกันในการจะพิจารณาว่าผู้ถือหุ้นใดเป็นผู้มีส่วนได้เสียในแต่ละเรื่องหรือไม่ โดยผู้ร้องถูกตัดสิทธิจากบริษัทฯ มิให้ใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนในวาระดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทขอเรียนชี้แจงว่า วาระที่ 3 ของการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2554 นั้น เป็นวาระให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติประการใดประการหนึ่ง ดังนี้ (1) อนุมัติให้บริษัททำการแก้ไขสัญญาระหว่างบริษัท กับ เป๊ปซี่ โดยใช้ราคาและเงื่อนไขอันเป็นผลมาจากการเจรจา หรือ (2) อนุมัติให้บริษัทดำเนินการตามแผนธุรกิจในอนาคต และบริษัทได้รายงานมติที่ประชุมดังกล่าวต่อ ตลท.เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2554 ตามสิ่งที่อ้างถึง 1.ซึ่งผู้ถือหุ้นได้มีมติอนุมัติให้บริษัทดำเนินการตามแผนธุรกิจในอนาคต ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 99.9823 โดยไม่นับรวมหุ้นของผู้ร้อง และ Seven-UpNederland B.V.ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของบริษัท เป๊ปซี่-โค อิงค์ (Pepsi Co Inc.) เนื่องจากเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียเป็นพิเศษ ตามความใน พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 มาตรา 33 วรรคสอง และมาตรา 102

ทั้งนี้ ผู้ร้องกล่าวอ้างในคำร้องว่า การที่ผู้ร้องถูกตัดสิทธิในการลงมติในวาระดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติกฎหมายที่อ้างถึงในวรรคก่อนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นจึงเป็นมติที่มิชอบด้วยกฎหมายและไม่มีผลผูกพันต่อบริษัท และผู้ถือหุ้นโดยได้ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนมติการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2554 ในวาระที่ 3 ทั้งสิ้น

บริษัทขอเรียนชี้แจงว่า สาระสำคัญของคำร้องของผู้ร้องนั้นเป็นประเด็นเดียวกับที่ผู้ร้องได้เคยยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งก่อนหน้านี้เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนมติการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2553และมติการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2553 ซึ่งบริษัทได้รายงานต่อ ตลท.และบริษัท ได้ยื่นคำคัดค้านต่อศาลเป็นที่เรียบร้อยแล้วในวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยศาลเห็นว่าเมื่อคดีนี้มีการคัดค้านคำร้องของฝ่ายผู้ร้องศาล จึงได้กำหนดให้มีการนัดสืบพยานอย่างต่อเนื่อง จำนวน 4 วัน คือ วันที่ 6-8 และ13 กันยายน 2554
กำลังโหลดความคิดเห็น