เอสซีจี กางแผนระยะยาว 5 ปีทุ่มเม็ดเงินลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาท เน้นขยายการลงทุนตลาดต่างประเทศสัดส่วน70% และ อีก30% ลงทุนในประเทศ เผยปีแรกรุกผุดโรงงานผลิตซีเมนต์ในประเทศอินโดฯคาดใช้เงินลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท เล็งลงทุนในเวียดนามรองรับความต้องการ ล่าสุดเปิดตัวปูนเสือสูตรใหม่ พร้อมทุ่มงบกว่า100ล้านทำตลาดปี54 หวังดันยอดขายทั้งปีโตกว่า 5% หรือ 50,000 ล้านบาท
นายปราโมทย์ เตชะสุพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี เปิดเผยว่า บริษัทได้อนุมัติงบลงทุนระยะยาว 5 ปี ตั้งแต่ปี 54-58 วงเงิน 30,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนขยายกำลังการผลิตและก่อตั้งโรงในต่างประเทศ โดยสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศอยู่ที่ 70% โดยในปีนี้จะมีการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตปูนซิเมนต์ และการขยายกำลังการผลิต ในประเทศอินโดนิเซีย , เวียดนาม , กัมพูชา และพม่า
โดยขณะนี้ เอสซีจี อยู่ระหว่างการศึกษาตลาดในอินโดนีเซีย คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือน ก่อนที่จะลงทุนก่อสร้างโรงงาน ในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้พื้นที่ในเกาะชวาเป็นที่ตั้งโรงงานแห่งใหม่ คาดใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท คาดจะใช้เวลาในการก่อสร้าง 2 ปีจึงแล้วเสร็จ
นอกจากนี้ ยังพิจารณาขยายการลงทุนในประเทศอื่น ๆ เช่น ประเทศเวียดนาม โดยทำเลที่ตั้งโรงงาน ควรอยู่ทางภาคใต้ของเวียดนาม เนื่องจากความต้องการในการบริโภคสูง แต่ติดปัญหา คือ วัตถุดิบในการผลิตอยู่ในโซนภาคเหนือและภาคกลางของประเทศ โดยรูปแบบการลงทุน มีความเป็นไปได้ที่จะเข้าซื้อกิจการของผู้ประกอบการในพื้นที่แทนการก่อสร้างโรงงานใหม่ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายกำลังการผลิตในกลุ่มประเทศภูมิภาคอาเซียนที่มีโรงงานอยู่แล้ว ล่าสุดเพิ่มลงทุนขยายกำลังผลิตในประเทศกัมพูชาอีก 70,000 ตัน ทำให้มีกำลังการผลิตรวมกว่า 1 ล้านตัน
สำหรับสัดส่วนงบลงทุนอีก 30% จะเน้นตลาดในประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่รองรับความต้องการของลูกค้าในกลุ่มปูนผงสำเร็จรูป แบรนด์มอร์ต้า ที่จะขยายกำลังการผลิตในอีก 3 ปีข้างหน้าเพิ่มอีก 40% ทำให้มีกำลังการผลิตเป็น 3 ล้านตัน
นายปราโมทย์ กล่าวถึงภาพรวมตลาดอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในประเทศ ว่า ปีนี้จะเติบโตขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยที่การเติบโตส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงครึ่งปีแรก และชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ปัจจุบันประเทศไทยมีบริษัทผลิตปูนซีเมนต์ จำนวน 7 ราย กำลังการผลิตรวม 53-54 ล้านตัน มากกว่าความต้องการใช้ในประเทศที่มีอยู่ประมาณ 23 ล้านตัน ซึ่งถือว่าสูงกว่าความต้องการภายในประเทศ 40% ขณะที่ตลาดส่งออกรวมอยู่ที่ 14 ล้านตัน
ขณะที่ บริษัทฯมีกำลังการผลิต 23 ล้านตันต่อปี แบ่งออกเป็นยอดขายในประเทศ 10 ล้านตัน หรือมีส่วนแบ่งตลาด 40%ของตลาดรวมในประเทศ และมียอดส่งออก 7 ล้านตัน หรือมีส่วนแบ่งตลาดส่งออกที่ 50%
นายปราโมทย์ เตชะสุพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี เปิดเผยว่า บริษัทได้อนุมัติงบลงทุนระยะยาว 5 ปี ตั้งแต่ปี 54-58 วงเงิน 30,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนขยายกำลังการผลิตและก่อตั้งโรงในต่างประเทศ โดยสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศอยู่ที่ 70% โดยในปีนี้จะมีการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตปูนซิเมนต์ และการขยายกำลังการผลิต ในประเทศอินโดนิเซีย , เวียดนาม , กัมพูชา และพม่า
โดยขณะนี้ เอสซีจี อยู่ระหว่างการศึกษาตลาดในอินโดนีเซีย คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือน ก่อนที่จะลงทุนก่อสร้างโรงงาน ในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้พื้นที่ในเกาะชวาเป็นที่ตั้งโรงงานแห่งใหม่ คาดใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท คาดจะใช้เวลาในการก่อสร้าง 2 ปีจึงแล้วเสร็จ
นอกจากนี้ ยังพิจารณาขยายการลงทุนในประเทศอื่น ๆ เช่น ประเทศเวียดนาม โดยทำเลที่ตั้งโรงงาน ควรอยู่ทางภาคใต้ของเวียดนาม เนื่องจากความต้องการในการบริโภคสูง แต่ติดปัญหา คือ วัตถุดิบในการผลิตอยู่ในโซนภาคเหนือและภาคกลางของประเทศ โดยรูปแบบการลงทุน มีความเป็นไปได้ที่จะเข้าซื้อกิจการของผู้ประกอบการในพื้นที่แทนการก่อสร้างโรงงานใหม่ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายกำลังการผลิตในกลุ่มประเทศภูมิภาคอาเซียนที่มีโรงงานอยู่แล้ว ล่าสุดเพิ่มลงทุนขยายกำลังผลิตในประเทศกัมพูชาอีก 70,000 ตัน ทำให้มีกำลังการผลิตรวมกว่า 1 ล้านตัน
สำหรับสัดส่วนงบลงทุนอีก 30% จะเน้นตลาดในประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่รองรับความต้องการของลูกค้าในกลุ่มปูนผงสำเร็จรูป แบรนด์มอร์ต้า ที่จะขยายกำลังการผลิตในอีก 3 ปีข้างหน้าเพิ่มอีก 40% ทำให้มีกำลังการผลิตเป็น 3 ล้านตัน
นายปราโมทย์ กล่าวถึงภาพรวมตลาดอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในประเทศ ว่า ปีนี้จะเติบโตขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยที่การเติบโตส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงครึ่งปีแรก และชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ปัจจุบันประเทศไทยมีบริษัทผลิตปูนซีเมนต์ จำนวน 7 ราย กำลังการผลิตรวม 53-54 ล้านตัน มากกว่าความต้องการใช้ในประเทศที่มีอยู่ประมาณ 23 ล้านตัน ซึ่งถือว่าสูงกว่าความต้องการภายในประเทศ 40% ขณะที่ตลาดส่งออกรวมอยู่ที่ 14 ล้านตัน
ขณะที่ บริษัทฯมีกำลังการผลิต 23 ล้านตันต่อปี แบ่งออกเป็นยอดขายในประเทศ 10 ล้านตัน หรือมีส่วนแบ่งตลาด 40%ของตลาดรวมในประเทศ และมียอดส่งออก 7 ล้านตัน หรือมีส่วนแบ่งตลาดส่งออกที่ 50%
