SCG ไม่หวั่นวิกฤตฟองสบู่ในเวียดนาม เชื่อรัฐบาลควบคุมได้ แถมกลุ่มลูกค้าระดับบนไม่ได้รับผลกระทบ ส่งวัสดุก่อสร้างแบรนด์ SCG - คอตโต้ ล่าสุดเปิดโชว์รูมในกรุงฮานอยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมเตรียมเปิดอีกสาขาที่โฮจิมิน ตั้งเป้ายอดขาย 420 ล้านบาทในปี 54
นายเทพ วงษ์วาณิช Country Executive Director Vietnam บริษัท เครือซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG เปิดเผยถึงการลงทุนของกลุ่ม SCG ในประเทศเวียดนามว่า ปัจจุบันเวียดนามประสบปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจและภาวะฟองสบู่ แต่เชื่อว่ารัฐบาลเวียดนามจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ โดยคาดว่าการณ์ว่า GDP ของเวียดนามจะโต 6-7% ในปีนี้ และตั้งเป้าใน 5 ปีจะรักษาระดับการเติบโตของ GDP ไว้ที่ 6-7% จากที่ในช่วงก่อนหน้านี้เศรษฐกิจของเวียดนามเติบโตแบบก้าวกระโดด GDP สูงถึง 10-11% ต่อปี นอกจากนี้ยังประสบภาวะเงินเฟ้อสูงถึง 10% โดยรัฐบาลเวียดนามควบคุมด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 1-2% พร้อมทั้งลดค่าเงินลง 9% ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล
แม้ว่าเวียดนามจะปรับสบภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจ แต่การที่ GDP ยังเติบโตในระดับ 6-7% ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และมีความเป็นไปได้ของการขยายการลงทุน ซึ่งกลุ่ม SCG ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในเวียดนามอย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางเอาไว้ โดยจะใช้รูปแบบเดียวกับการทำธุรกิจในไทย แต่จะอยู่ภายใต้แบรนด์สินค้าเดียว คือ SCG ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเคมีภัณฑ์ ซิเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กระดาษ
ปัจจุบันกลุ่ม SCG ลงทุนในเวียดนามแล้ว 9 บริษัท มูลค่าการลงทุนรวม 320 ล้านเหรียญสหรัฐ มียอดขายรวมกว่า 280 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนแผนลงทุนอุตสาหกรรมปิโตเคมี สร้างโรงงานปูนซีเมนต์ งบลงทุน 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ รูปแบบคล้ายๆที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ขณะนี้ได้รับใบอนุญาตต่างๆเกือบหมดแล้วเหลือเพียงใบอนุญาตก่อสร้าง คาดว่าจะได้รับการอนุมัติเร็วๆนี้ หากได้รับอนุมัติก็พร้อมลงทุนก่อสร้างได้ทันทีโดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปี 2016
นอกจากนี้ยังมีแผนขยายกำลังการผลิตกระดาษคราฟ (กระดาษผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์) หากเศรษฐกิจของเวียดนามในปีนี้มีการเติบโตที่ดี เนื่องจากปัจจุบันกำลังการผลิตกระดาษคราฟภายในประเทศไม่เพียงพอต้องนำเข้าปีละกว่า 2 แสนตัน ซึ่งหากลงทุนเครื่องจักรเพิ่มจะใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท โดยใช้เวลาก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรประมาณ 2 ปี โดยที่ผ่านมาได้ลงทุนไปแล้ว 6,000 ล้านบาท ในบริษัทวีนา คราฟ เปเปอร์ จำกัด โดยเป็นการร่วมทุนระหว่าง SCG และบริษัทเรนโก้ จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น ในสัดส่วน 70:30 ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิต 2.2 แสนตัน/ปี ปัจจุบันใช้กำลังการผลิต 90% ซึ่งปีนี้ตั้งยอดขายไว้ที่ 3,200 ล้านบาท หรือเติบโต 20%
ด้านนายสัตถวัจน์ ทิตาราม Vietnam Country Director บริษัท เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด เปิดเผยว่า กลุ่มเอสซีจีได้ลงทุนเปิดโชว์รูมผลิตภัณฑ์ก่อสร้างของเอสซีจีเป็นแห่งแรกในเวียดนาม ที่ฮานอย เปิดให้บริการเกี่ยวกับข้อมูลสินค้าเอสซีจี ข้อมูลด้านเทคนิคและให้คำปรึกษาแก่สถาปนิก นักออกแบบ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และเจ้าของที่อยู่อาศัยภายใต้ 2 แบรนด์หลัก คือ “เอซีจี” (ตราช้าง) และ “คอตโต้”
ส่วนการใช้แบรนด์ เอสซีจี แทนตราช้างนั้น เนื่องจากต้องการให้แบรนด์สินค้าในเวียดนามให้เป็นหนึ่งเดี่ยวกันในทุกธุรกิจ ขณะที่แบรนด์คอดโต้นั้นได้เข้ามาทำการตลาดในเวียดนามมากว่า 20 ปีเป็นที่รับรู้ของชาวเวียดนามเป็นอย่างดี จึงต้องการใช้แบรนด์นี้ทำตลาดต่อไป
นายสัตถวัจน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันเวียดนามประสบปัญหาฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ ราคาปรับขึ้นไปกว่า 300% ภายในเวลา 3 ปี และการควบคุมเงินเฟ้อด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ย 1-2% ได้ส่งผลให้ดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านสูงถึง 16-17% ในปัจจุบัน นอกจากนี้การลดค่าเงินลงยังทำให้ราคาสินค้าปรับขึ้นอีก 10-20% แต่ผู้นำเข้าก็ได้ปรับราคาขึ้นตามต้นทุนและภาวะตลาด ซึ่งยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเดินหน้าขยายตลาดผลิตภัณฑ์ก่อสร้างของ SCG ในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น เพราะยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บนที่เป็นลูกเป้าหมายของ SCG ซึ่งกลุ่มนี้มีสัดส่วนประมาณ 30% ของประชากรทั้งหมด 90 ล้านคน
โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 420 ล้านบาท ผ่านตัวแทนจำหน่าย 30 รายในปัจจุบันและภายใน 5 ปีตั้งเป้ายอดขายเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท และเพิ่มตัวแทนจำหน่ายเป็น 50 รายทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะลงทุนโรงงานผลิตกระเบื้อง สุขภัณฑ์เพิ่มคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ รวมถึงการเปิดโชว์รูม SCG เพิ่มอีก 1 แห่งที่โฮจิมิน เพื่อจัดแสดงสินค้าและแนะนำผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าได้รับรู้มากยิ่งขึ้น
นายเทพ วงษ์วาณิช Country Executive Director Vietnam บริษัท เครือซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG เปิดเผยถึงการลงทุนของกลุ่ม SCG ในประเทศเวียดนามว่า ปัจจุบันเวียดนามประสบปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจและภาวะฟองสบู่ แต่เชื่อว่ารัฐบาลเวียดนามจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ โดยคาดว่าการณ์ว่า GDP ของเวียดนามจะโต 6-7% ในปีนี้ และตั้งเป้าใน 5 ปีจะรักษาระดับการเติบโตของ GDP ไว้ที่ 6-7% จากที่ในช่วงก่อนหน้านี้เศรษฐกิจของเวียดนามเติบโตแบบก้าวกระโดด GDP สูงถึง 10-11% ต่อปี นอกจากนี้ยังประสบภาวะเงินเฟ้อสูงถึง 10% โดยรัฐบาลเวียดนามควบคุมด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 1-2% พร้อมทั้งลดค่าเงินลง 9% ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล
แม้ว่าเวียดนามจะปรับสบภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจ แต่การที่ GDP ยังเติบโตในระดับ 6-7% ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และมีความเป็นไปได้ของการขยายการลงทุน ซึ่งกลุ่ม SCG ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในเวียดนามอย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางเอาไว้ โดยจะใช้รูปแบบเดียวกับการทำธุรกิจในไทย แต่จะอยู่ภายใต้แบรนด์สินค้าเดียว คือ SCG ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเคมีภัณฑ์ ซิเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กระดาษ
ปัจจุบันกลุ่ม SCG ลงทุนในเวียดนามแล้ว 9 บริษัท มูลค่าการลงทุนรวม 320 ล้านเหรียญสหรัฐ มียอดขายรวมกว่า 280 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนแผนลงทุนอุตสาหกรรมปิโตเคมี สร้างโรงงานปูนซีเมนต์ งบลงทุน 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ รูปแบบคล้ายๆที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ขณะนี้ได้รับใบอนุญาตต่างๆเกือบหมดแล้วเหลือเพียงใบอนุญาตก่อสร้าง คาดว่าจะได้รับการอนุมัติเร็วๆนี้ หากได้รับอนุมัติก็พร้อมลงทุนก่อสร้างได้ทันทีโดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปี 2016
นอกจากนี้ยังมีแผนขยายกำลังการผลิตกระดาษคราฟ (กระดาษผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์) หากเศรษฐกิจของเวียดนามในปีนี้มีการเติบโตที่ดี เนื่องจากปัจจุบันกำลังการผลิตกระดาษคราฟภายในประเทศไม่เพียงพอต้องนำเข้าปีละกว่า 2 แสนตัน ซึ่งหากลงทุนเครื่องจักรเพิ่มจะใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท โดยใช้เวลาก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรประมาณ 2 ปี โดยที่ผ่านมาได้ลงทุนไปแล้ว 6,000 ล้านบาท ในบริษัทวีนา คราฟ เปเปอร์ จำกัด โดยเป็นการร่วมทุนระหว่าง SCG และบริษัทเรนโก้ จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น ในสัดส่วน 70:30 ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิต 2.2 แสนตัน/ปี ปัจจุบันใช้กำลังการผลิต 90% ซึ่งปีนี้ตั้งยอดขายไว้ที่ 3,200 ล้านบาท หรือเติบโต 20%
ด้านนายสัตถวัจน์ ทิตาราม Vietnam Country Director บริษัท เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด เปิดเผยว่า กลุ่มเอสซีจีได้ลงทุนเปิดโชว์รูมผลิตภัณฑ์ก่อสร้างของเอสซีจีเป็นแห่งแรกในเวียดนาม ที่ฮานอย เปิดให้บริการเกี่ยวกับข้อมูลสินค้าเอสซีจี ข้อมูลด้านเทคนิคและให้คำปรึกษาแก่สถาปนิก นักออกแบบ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และเจ้าของที่อยู่อาศัยภายใต้ 2 แบรนด์หลัก คือ “เอซีจี” (ตราช้าง) และ “คอตโต้”
ส่วนการใช้แบรนด์ เอสซีจี แทนตราช้างนั้น เนื่องจากต้องการให้แบรนด์สินค้าในเวียดนามให้เป็นหนึ่งเดี่ยวกันในทุกธุรกิจ ขณะที่แบรนด์คอดโต้นั้นได้เข้ามาทำการตลาดในเวียดนามมากว่า 20 ปีเป็นที่รับรู้ของชาวเวียดนามเป็นอย่างดี จึงต้องการใช้แบรนด์นี้ทำตลาดต่อไป
นายสัตถวัจน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันเวียดนามประสบปัญหาฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ ราคาปรับขึ้นไปกว่า 300% ภายในเวลา 3 ปี และการควบคุมเงินเฟ้อด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ย 1-2% ได้ส่งผลให้ดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านสูงถึง 16-17% ในปัจจุบัน นอกจากนี้การลดค่าเงินลงยังทำให้ราคาสินค้าปรับขึ้นอีก 10-20% แต่ผู้นำเข้าก็ได้ปรับราคาขึ้นตามต้นทุนและภาวะตลาด ซึ่งยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเดินหน้าขยายตลาดผลิตภัณฑ์ก่อสร้างของ SCG ในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น เพราะยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บนที่เป็นลูกเป้าหมายของ SCG ซึ่งกลุ่มนี้มีสัดส่วนประมาณ 30% ของประชากรทั้งหมด 90 ล้านคน
โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 420 ล้านบาท ผ่านตัวแทนจำหน่าย 30 รายในปัจจุบันและภายใน 5 ปีตั้งเป้ายอดขายเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท และเพิ่มตัวแทนจำหน่ายเป็น 50 รายทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะลงทุนโรงงานผลิตกระเบื้อง สุขภัณฑ์เพิ่มคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ รวมถึงการเปิดโชว์รูม SCG เพิ่มอีก 1 แห่งที่โฮจิมิน เพื่อจัดแสดงสินค้าและแนะนำผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าได้รับรู้มากยิ่งขึ้น