“TMB Analytics” วิเคราะห์ความเสี่ยงนักลงทุนไทยเผชิญมากที่สุด คือ แรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่วนผลกระทบในตลาดหุ้นไทยยังไม่ชัดเจน แนะลงทุนทองคำเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะมีความเสี่ยงขาดทุนน้อยกว่าเล่นหุ้น หลังผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี เฉลี่ยถึงร้อยละ 11.6
วันนี้ (24 ก.พ.) TMB Analytics รายงานว่า ในปีนี้ความเสี่ยงหลักที่นักลงทุนไทยต้องเผชิญ คือ แรงกดดันทางเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลให้มุมมองระยะสั้นของตลาดหุ้นในขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ดังนั้นสำหรับสภาวะเช่นนี้ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TMB หรือ TMB Analytics มองว่า ทองคำยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเพราะนอกจากสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อได้อย่างต่อเนื่องแล้ว ยังมีผลตอบแทนที่ดีภายใต้สภาวะความไม่สงบทางการเมือง ล่าสุดราคาทองคำแท่งในประเทศปรับตัวมาอยู่ที่บาทละ 20,150 บาท เมื่อเทียบกับราคาเมื่อต้นปี 2553 ที่ประมาณบาทละ 17,600 บาท คิดเป็นผลตอบแทนร้อยละ 14.5
ทั้งนี้ หากมองย้อนกลับไปในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำในประเทศปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณร้อยละ 11.6 นับเป็นอัตราผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงและจูงใจให้นักลงทุนหรือคนที่คิดจะออมเงินเก็บเงินบางส่วนไว้ในรูปของทองคำ โดยจากข้อมูลตั้งแต่ปี 2543 การเก็บเงินในรูปทองคำจะให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยดีกว่าอัตราเงินเฟ้อ โดยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของไทยอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี
ขณะที่ ทองคำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึงร้อยละ 11.6 โดยมีบางช่วงบางปีเท่านั้นที่ทองคำให้ผลตอบแทนน้อยกว่าเงินเฟ้อ โดยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในทองคำมีโอกาสขาดทุนคิดเป็นร้อยละ 5.3 จากจำนวนครั้งในการลงทุน ขณะที่ตลาดหุ้นมีโอกาสขาดทุนร้อยละ 31.8 จากข้อมูลปี 2542-2553 เมื่อสมมติให้ลงทุนเดือนละครั้งโดยมีระยะเวลาลงทุน 1 ปี ซึ่งหากคิดถึงผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว การลงทุนในทองคำมีผลขาดทุนสูงสุดที่ร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนตลาดหุ้นมีผลขาดทุนสูงสุดถึงร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
จากการศึกษาพบว่า ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนจากทองคำและผลตอบแทนจากตราสารทุนจะเพิ่มสูงขึ้นตามทิศทางการเปลี่ยนแปลงของดัชนี VIX ที่สะท้อนถึงความเสี่ยงในสายตาของนักลงทุนในต่างประเทศ โดยมีค่าสหสัมพันธ์ทางสถิติ (Correlation) เท่ากับ 0.64 นั่นหมายความว่า การถือทองคำได้ผลตอบแทนโดยเปรียบเทียบสูงขึ้นในยามที่เกิดความไม่แน่นอน เนื่องมาจากช่วงที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยงสูงนอกจากทองคำจะมีราคาไม่ลดลงแล้ว การถือตราสารทุนกลับให้ผลตอบแทนติดลบค่อนข้างมาก ดังนั้น การเปลี่ยนจากการถือตราสารทุนมาเป็นทองคำ จึงช่วยให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการขาดทุนจากตราสารทุนและได้รับผลตอบแทนจากทองคำไปด้วย ซึ่งเมื่อคิดเป็นผลสุทธิแล้ว ทองคำจะทำให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าตราสารทุน
โดยทองคำใช้รักษาความมั่งคั่งได้ดีเมื่อเกิดความผิดปกติขึ้นในประเทศ ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติอื่นๆในประเทศ เช่น มาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้า 30% ช่วงสิ้นปี 2549 หรือความไม่สงบทางการเมืองในรอบสามปีที่ผ่านมา ทองคำก็ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวก และยังมีแนวโน้มผลตอบแทนที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากตลาดหุ้นที่มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากราคาทองเคลื่อนไหวตามราคาตลาดโลก จึงทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงเฉพาะประเทศลงได้ (Idiosyncratic Risk)
“เราพบว่า ในช่วงที่เกิดความไม่สงบทางการเมืองในประเทศ ความผันผวนของตลาดหุ้นปรับสูงขึ้นอย่างมาก ขณะที่ทองคำไม่ได้ผลกระทบ จากข้อมูลทางสถิติพบว่าความผันผวน (standard deviation) ของผลตอบแทนในทองคำเพิ่มขึ้นกว่าภาวะปกติเพียงร้อยละ 1 ขณะที่ความผันผวนของผลตอบแทนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นถึงร้อละ 37”
อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้วช่วงที่ผ่านมา ราคาโลหะมีค่าอื่นปรับตัวลดลงมากจึงทำให้ราคาทองคำดูเหมือนว่าสูงผิดปกติ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างดัชนีราคาของโลหะมีค่าและน้ำมันในตลาดโลก จะเห็นได้ว่าปกติแล้วดัชนีราคามักปรับตัวเกาะกลุ่มกัน และเพิ่งเริ่มเห็นความแตกต่างในช่วงปลายปี 2551 เนื่องจากราคาทองคำไม่ปรับตัวลดลงมากเหมือนน้ำมันและโลหะมีค่าอื่นๆ ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าราคาทองคำปรับตัวสูงมากเกินไป ทั้งที่ความจริงในช่วงปลายปี 2553 ราคาแร่เงินมีการปรับสูงขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็วกว่ามาก
ดังนั้น ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ทนทานต่อความเสี่ยงและเก็บรักษามูลค่าได้ดีกว่าโลหะมีค่าอื่นๆ เห็นได้จากตารางสถิติ ทองคำมีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่าโลหะมีค่าอื่นและน้ำมันไม่มากนัก แต่กลับมีความผันผวนต่ำกว่ามาก โดยเฉพาะช่วงเศรษฐกิจตกต่ำทองคำแทบไม่เสียมูลค่าไปเลย ขณะที่โลหะมีค่าและน้ำมันมีมูลค่าลดลงอย่างชัดเจน
สรุปแล้วทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เก็บรักษาความมั่งคั่งได้ดี เพราะนอกจากผลตอบแทนโดยเฉลี่ยจะสูงกว่าเงินเฟ้อแล้ว ยามเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำราคาทองคำก็ลดลงไปไม่มากนักเมื่อเทียบกับสินทรัพย์เพื่อการลงทุนประเภทอื่น นอกจากนั้น ในช่วงที่เศรษฐกิจเผชิญกับความเสี่ยงที่มากขึ้น ทองคำให้ผลตอบแทนสุทธิสูงมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้น เพราะนอกจากผลตอบแทนทองคำจะไม่ต่ำลงมาก
ขณะเดียวกัน เรายังสามารถหลีกเลี่ยงผลขาดทุนในตราสารทุนได้อีกด้วย ดังนั้น สำหรับผู้ออมเงินที่คาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินเฟ้อ และต้องการความปลอดภัยในเงินออมสูง ทองคำจึงยังคงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจอยู่