ลูกศิษย์หลวงตามหาบัว เข้าพบผู้ว่าการแบงก์ชาติ ขอความชัดเจนการดูแลทรัพย์สินบริจาคในโครงการผ้าป่าช่วยชาติ หวั่นเงินคลังหลวงโดนล้วง เผย หลังเข้าพบ พอใจกับคำชี้แจง “ประสาร” สัญญาไม่แตะต้องเงินคงคลัง แต่หากมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเงินคลังหลวง จะมีการหารือประชาชน และศิษยานุศิษย์ของหลวงตาทุกครั้ง
เมื่อวานนี้ (22 ก.พ.) เวลาประมาณ 10.00-12.30 น.ศิษยานุศิษย์ของหลวงตามมหาบัว ญาณสัมปันโณ และพระสงฆ์วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี 8 รูป พร้อมด้วยฆราวาสอีก 11 คน ได้เดินทางมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อมาหารือและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเงินบริจาคและทองคำของหลวงตามหาบัวที่เก็บไว้ในบัญชีสำรองพิเศษ หรือคลังหลวง กับผู้บริหาร ธปท.ซึ่งนำโดย นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท.พร้อมด้วย นางสุชาดา กิระกุล รองผู้ว่าการ ด้านบริหาร
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท.เปิดเผยภายหลังจากการหารือร่วมกัน ว่า สืบเนื่องมาจากทางคณะศิษย์ได้เห็นเอกสารเผยแพร่ที่ทาง ธปท.ได้นำไปแจกในงานหลวงตามหาบัว ซึ่งระบุข้อความว่า สินทรัพย์บริจาคของหลวงตามหาบัวได้เก็บไว้ในบัญชีสำรองพิเศษ ซึ่งเป็นบัญชี 1 ใน 3 ของทุนสำรองเงินตราที่ใช้สำหรับหนุนหลังธนบัตร ทำให้เกิดการเข้าใจผิดว่าทำไมไม่ระบุบัญชีที่เหลืออีก 2 บัญชี คือ บัญชีทุนสำรองเงินตรา และบัญชีผลประโยชน์ประจำปีด้วย ศิษยานุศิษย์จึงได้มาหารือ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของหลวงตาอยากให้ธปท.ช่วยเป็นน้ำมนต์ดูแลทุนสำรองเงินตราโดยรวมด้วย
โดย ธปท.ได้ชี้แจงว่า ตามพระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ.2501 (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ.2545 ระบุไว้ว่า ตามมาตรา 34/1 กำหนดให้สินทรัพย์ที่ได้รับบริจาคมาจะเก็บในบัญชีสำรองพิเศษ ส่วนทองคำมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยด้านราคา ทำให้เมื่อมีการตีราคาทุนสำรองเงินตรา เพื่อหนุนหลังธนบัตร ราคาจะเปลี่ยน ทำให้ต้องนำเงินไปใส่เพิ่มหรือลดเงินทุนสำรองเงินตราลง
เพื่อให้เท่ากับธนบัตรที่หมุนเวียนในระบบ ขณะเดียวกัน ธปท.ได้ยืนยันไปว่า ขณะนี้ไม่มีแนวคิดที่จะรวมบัญชีทั้ง 3 บัญชีดังกล่าวไปรวมกับฝ่ายกิจการธนาคารเช่นกัน
ด้าน พระอาจารย์นภดล นนทโน เจ้าอาวาส วัดป่าดอยลังกา กล่าวว่า การพูดคุยกับ ธปท.ในครั้งนี้ เพื่อติดต่อเรื่องการส่งมอบทองคำล็อตใหม่ในวันที่ 12 เม.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบ 13 ปีของโครงการผ้าป่าช่วยชาติ โดยทางศิษยานุศิษย์ตั้งใจจะมีการส่งมอบทองคำแท่งเพิ่มอีก 1,001 แท่ง หรือ 12,500 กิโลกรัม ถือเป็นครั้งสุดท้ายภายใต้โครงการนี้
อย่างไรก็ตาม คาดว่า จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะมอบให้กับคลังหลวงของประเทศ เพราะจบโครงการนี้ก็อาจมีโครงการอื่นขึ้นมาอีกก็ได้
นอกจากนี้ ยังมาสอบถามเรื่องกระแสข่าวที่ว่ารัฐบาลจะมีการแก้ไขกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.เงินตรา และ พ.ร.บ.กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบันทึกบัญชีของคลังหลวงด้วย เพราะห่วงว่ารัฐบาลจะฉวยโอกาสช่วงที่ศิษยานุศิษย์กำลังจัดงานพระราชทานเพลิงศพสรีระหลวงตา เข้ามาเจาะคลังหลวง
ซึ่งต่างกับความรู้สึกของหลวงตาที่ต้องการให้คลังหลวงมีความมั่นคงและเพิ่มพูน เพื่อรักษาครอบครัวหรือช่วยประเทศชาติไว้
“การพูดคุยกับผู้บริหารครั้งนี้เป็นที่น่าพอใจมาก โดยผู้ว่าการ ธปท.คนนี้ยอดเยี่ยมมาก สัญญาว่าจะไม่แตะเงินบริจาคในคลังหลวง และหากมีการแก้ไขกฎหมายก็จะให้ประชาชนมีส่วนร่วมด้วยทุกครั้ง โดยครั้งนี้เริ่มทาบทาม ว่า หากมีการแก้กฎหมายในการลงบัญชีผลประโยชน์ประจำปี เพื่อนำดอกผลไปใช้ลดหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯบางส่วนบ้าง ทางเราจะกังวลอะไรไหม และคิดอย่างไรในระยะยาว จึงเป็นเรื่องที่ดีที่ถามก่อนทำ”
พระอาจารย์นภดล กล่าวต่อว่า ในวันที่ 25 ก.พ.นี้ ทางศิษยานุศิษย์จะเดินทางไปกระทรวงการคลัง เพื่อขอทราบรายละเอียดร่างแก้กฎหมายทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว เพื่อให้เกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
เมื่อวานนี้ (22 ก.พ.) เวลาประมาณ 10.00-12.30 น.ศิษยานุศิษย์ของหลวงตามมหาบัว ญาณสัมปันโณ และพระสงฆ์วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี 8 รูป พร้อมด้วยฆราวาสอีก 11 คน ได้เดินทางมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อมาหารือและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเงินบริจาคและทองคำของหลวงตามหาบัวที่เก็บไว้ในบัญชีสำรองพิเศษ หรือคลังหลวง กับผู้บริหาร ธปท.ซึ่งนำโดย นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท.พร้อมด้วย นางสุชาดา กิระกุล รองผู้ว่าการ ด้านบริหาร
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท.เปิดเผยภายหลังจากการหารือร่วมกัน ว่า สืบเนื่องมาจากทางคณะศิษย์ได้เห็นเอกสารเผยแพร่ที่ทาง ธปท.ได้นำไปแจกในงานหลวงตามหาบัว ซึ่งระบุข้อความว่า สินทรัพย์บริจาคของหลวงตามหาบัวได้เก็บไว้ในบัญชีสำรองพิเศษ ซึ่งเป็นบัญชี 1 ใน 3 ของทุนสำรองเงินตราที่ใช้สำหรับหนุนหลังธนบัตร ทำให้เกิดการเข้าใจผิดว่าทำไมไม่ระบุบัญชีที่เหลืออีก 2 บัญชี คือ บัญชีทุนสำรองเงินตรา และบัญชีผลประโยชน์ประจำปีด้วย ศิษยานุศิษย์จึงได้มาหารือ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของหลวงตาอยากให้ธปท.ช่วยเป็นน้ำมนต์ดูแลทุนสำรองเงินตราโดยรวมด้วย
โดย ธปท.ได้ชี้แจงว่า ตามพระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ.2501 (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ.2545 ระบุไว้ว่า ตามมาตรา 34/1 กำหนดให้สินทรัพย์ที่ได้รับบริจาคมาจะเก็บในบัญชีสำรองพิเศษ ส่วนทองคำมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยด้านราคา ทำให้เมื่อมีการตีราคาทุนสำรองเงินตรา เพื่อหนุนหลังธนบัตร ราคาจะเปลี่ยน ทำให้ต้องนำเงินไปใส่เพิ่มหรือลดเงินทุนสำรองเงินตราลง
เพื่อให้เท่ากับธนบัตรที่หมุนเวียนในระบบ ขณะเดียวกัน ธปท.ได้ยืนยันไปว่า ขณะนี้ไม่มีแนวคิดที่จะรวมบัญชีทั้ง 3 บัญชีดังกล่าวไปรวมกับฝ่ายกิจการธนาคารเช่นกัน
ด้าน พระอาจารย์นภดล นนทโน เจ้าอาวาส วัดป่าดอยลังกา กล่าวว่า การพูดคุยกับ ธปท.ในครั้งนี้ เพื่อติดต่อเรื่องการส่งมอบทองคำล็อตใหม่ในวันที่ 12 เม.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบ 13 ปีของโครงการผ้าป่าช่วยชาติ โดยทางศิษยานุศิษย์ตั้งใจจะมีการส่งมอบทองคำแท่งเพิ่มอีก 1,001 แท่ง หรือ 12,500 กิโลกรัม ถือเป็นครั้งสุดท้ายภายใต้โครงการนี้
อย่างไรก็ตาม คาดว่า จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะมอบให้กับคลังหลวงของประเทศ เพราะจบโครงการนี้ก็อาจมีโครงการอื่นขึ้นมาอีกก็ได้
นอกจากนี้ ยังมาสอบถามเรื่องกระแสข่าวที่ว่ารัฐบาลจะมีการแก้ไขกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.เงินตรา และ พ.ร.บ.กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบันทึกบัญชีของคลังหลวงด้วย เพราะห่วงว่ารัฐบาลจะฉวยโอกาสช่วงที่ศิษยานุศิษย์กำลังจัดงานพระราชทานเพลิงศพสรีระหลวงตา เข้ามาเจาะคลังหลวง
ซึ่งต่างกับความรู้สึกของหลวงตาที่ต้องการให้คลังหลวงมีความมั่นคงและเพิ่มพูน เพื่อรักษาครอบครัวหรือช่วยประเทศชาติไว้
“การพูดคุยกับผู้บริหารครั้งนี้เป็นที่น่าพอใจมาก โดยผู้ว่าการ ธปท.คนนี้ยอดเยี่ยมมาก สัญญาว่าจะไม่แตะเงินบริจาคในคลังหลวง และหากมีการแก้ไขกฎหมายก็จะให้ประชาชนมีส่วนร่วมด้วยทุกครั้ง โดยครั้งนี้เริ่มทาบทาม ว่า หากมีการแก้กฎหมายในการลงบัญชีผลประโยชน์ประจำปี เพื่อนำดอกผลไปใช้ลดหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯบางส่วนบ้าง ทางเราจะกังวลอะไรไหม และคิดอย่างไรในระยะยาว จึงเป็นเรื่องที่ดีที่ถามก่อนทำ”
พระอาจารย์นภดล กล่าวต่อว่า ในวันที่ 25 ก.พ.นี้ ทางศิษยานุศิษย์จะเดินทางไปกระทรวงการคลัง เพื่อขอทราบรายละเอียดร่างแก้กฎหมายทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว เพื่อให้เกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้น