“KTC” ฟุ้งรายได้ปี 54 คาดโตขึ้นจากปีก่อนมากกว่าเท่าตัว โดยปีนี้วางแผนจับกลุ่มลูกค้าระดับบนทั้งกลุ่ม B และ กลุ่ม A ที่มีกำลังซื้อเยอะ ใช้บัตรสม่ำเสมอ ส่วนกระแส “KTB” จะเข้ามาซื้อหุ้น “KTC” เพิ่ม ตอนนี้ผลประกอบการและพอร์ตฟอลิโอยังแข็งแกร่ง ดังนั้น ไม่น่าจะเป็นความจริง
วันนี้ (21 ก.พ.) นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) กล่าวว่า รายได้ในปี 54 น่าจะเติบโตเท่าตัวจากปี 53 ที่ผลประกอบการมีโอกาสพลิกกลับมาเป็นกำไร จากที่ขาดทุนในปี 52 หลังผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3/53 มีการเติบโตเพิ่มขึ้นมาก เมื่อเหตุการณ์ทางการเมืองเริ่มสงบลง
“ปีที่แล้วก็มีหลายเรื่องที่กระทบทั้งปัญหาเศรษฐกิจในระดับโลก ส่วนในประเทศก็มีความไม่มั่นใจเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ จึงทำให้ยอดการใช้จ่ายลดลง ปัญหาการเมืองเริ่มนื่ง การชุมนุมประท้วงที่แยกราชประสงค์จบ ก็ทำให้ยอดการใช้จ่ายปรับตัวขึ้นมาแรง จึงทำให้ภาพรวมทั้งปีน่าจะกลับมาดูดีขึ้น”
สำหรับแผนดำเนินงานในปีนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญและเน้นเกาะกลุ่มลูกค้าระดับบนที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างแท้จริงมากขึ้น โดยในส่วนของบัตรเครดิตจะเน้นกลุ่มลูกค้ารายได้ 1.5-4.0 หมื่นบาท/เดือน ซึ่งมีฐานขนาดใหญ่ และกลุ่มลูกค้ารายได้ 4 หมื่นบาท-1 แสนบาท ซึ่งมีกำลังซื้อและไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว โดยจะเน้นการขยายฐานลูกค้าสมาชิกใหม่ผ่านช่องทางธนาคารกรุงไทย กรุงไทยไดเร็คเซล และศูนย์บริการลูกค้า KTC touch
ส่วนสินเชื่อบุคคล จะรุกสินเชื่อพร้อมใช้ (KTC Cash Revolve) สำหรับผู้ที่มีรายได้ 2 หมื่นล้านบาทขึ้นไป และสินเชื่ออเนกประสงค์ KTC Cash ในกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ 1.5 หมื่นบาท/เดือน และช่องทางการจัดจำหน่ายในปีนี้จะเน้นการขยายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันที่ 22 ก.พ.ซึ่งจะมีการพิจารณาเป้าหมายและแผนงานทางธุรกิจในปี 54
“เป้าหมายของเราปีนี้จะเน้นการทำตลาดลูกค้าระดับบนทั้งกลุ่ม B และ กลุ่ม A ที่มีกำลังซื้อเยอะ ใช้บัตรสม่ำเสมอ และเราจะไม่เน้นออกสินค้าใหม่ แต่จะทำให้สินค้าที่มีอยู่มีความแข็งแกร่งและแปลกใหม่มากขึ้น และปีนี้จะเป็นปีของการ refresh brand จะมีโลโก้ใหม่ๆ และสโลแกนใหม่ๆ” นายนิวัตต์ กล่าว
นายนิวัติ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า KTB ต้องการเข้ามาซื้อถือหุ้นใน KTC เพิ่มว่า ตอนนี้ผลประกอบการและพอร์ตฟอลิโอมีความแข็งแกร่ง ตัวบริษัทแม้ก็ยังไม่น่าจะเข้ามาในขณะนี้ เพราะผลประกอบการก็เริ่มจะดีขึ้นแล้ว อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมามีทั้งกลุ่มกองทุนและนักลงทุนเข้ามาขอเยี่ยมชมกิจการของบริษัทค่อนข้างมาก แต่เป็นการเข้ามาพูดคุยกันเท่านั้น