ASTVผู้จัดการรายวัน - เครดิต บูโรเผยยอดบัญชีดำลูกหนี้ ณ สิ้นมี.ค. 5.4 ล้านบัญชี คิดเป็นจำนวน 1.9 ล้านราย ระบุเป็นระดับใกล้เคียงปีก่อน แต่ต้องจับตากลุ่มสินเชื่อบุคคลห่วงค่าครองชีพ-ดอกเบี้ยขึ้นกระทบความสามารถชำระหนี้
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร)เปิดเผยถึงภาพรวมข้อมูลสินเชื่อในระบบฐานข้อมูลของเครดิตบูโต ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 ว่า มีบัญชีสินเชื่อที่มีการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น 37.5 ล้านบัญชี แบ่งเป็น บัตรเครดิต 13.7 ล้านบัญชี สินเชื่อบุคคล 10 ล้านบัญชี สินเชื่อบ้าน 4.2 ล้านบัญชี สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 4 ล้านบัญชี และอื่นๆ 5.6 ล้านบัญชี โดยมีบัญชีสินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วันจำนวน 5.4 ล้านบัญชี คิดเป็นจำนวนลูกหนี้ 1.9 ล้านราย
ทั้งนี้ จำนวนบัญชีของสินเชื่อที่ค้างชำระเกินกว่า 90 วันที่ระดับ 5.4 ล้านบัญชีนั้น หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้ว อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด
สำหรับนโยบายหลักของเครดิตบูโรในปี 2554 นี้ นอกจากการเพิ่มช่องทางที่สะดวก ง่าย รวดเร็ว ในการเข้าถึงข้อมูลเครดิตหรือการตรวจเครดิตบูโรแล้ว ยังต้องดำเนินการต่างๆเพื่อเป็นการสนับสนุนแผนแม่บททางการเงินฉบับที่ 2 ซึ่งรวมถึงการเปิดไมโคร ไฟแนนซ์ โดยการพัฒนาเครื่องมือการบริหารความเสี่ยงที่เป็นมาตรฐานสากล ไม่ว่าเป็น Credit Scoring หรือการเพิ่มข้อมูลของลูกหนี้รายย่อย และสินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม
นายสุรพลกล่าวอีกว่า ในช่วงต่อจากนี้ไป สิ่งที่น่าเป็นห่วงเป็นส่วนของราคาขายปลีกน้ำมันสูงขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ จะทำให้ความสามารถในชำระหนี้ของลูกหนี้ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อบุคคลที่มีภาระที่ต้องชำระหนี้ในระดับ 50-60%ของรายได้ต่อเดือน เนื่องจากรูปแบบการผ่อนชำระของสินเชื่อบุคคลจะแบ่งจ่ายเป็นงวด ไม่ใช่การจ่ายขั้นต่ำ ซึ่งหากการเพิ่มขึ้นของรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ก็จะกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ได้ง่าย
ส่วนมาตรการรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตในอัตราดอกเบี้ย 10%ของทางการนั้น จากวงเงินที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาทนั้น จะคิดเป็นสัดส่วน 6.75%ของยอดหนี้คงค้างของสินเชื่อบัตรเครดิต 1.52 แสนล้านบาท จะส่งผลดีต่อผู้ถือบัตรที่มีวินัยทางการเงิน และจะเป็นแนวทางการให้สินเชื่อโดยคิดดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของผู้ขอกู้ รวมถึงจะทำให้เกิดการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นเพื่อรักษาฐานลูกค้าของตนเองไว้
"ไม่ว่าจะเป็นมาตรการสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 0% 2 ปี หรือรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต สิ่งที่สำคัญคือ การพิจารณาสินเชื่อดังกล่าวจะต้องเป็นไปอย่างรัดกุม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง"
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร)เปิดเผยถึงภาพรวมข้อมูลสินเชื่อในระบบฐานข้อมูลของเครดิตบูโต ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 ว่า มีบัญชีสินเชื่อที่มีการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น 37.5 ล้านบัญชี แบ่งเป็น บัตรเครดิต 13.7 ล้านบัญชี สินเชื่อบุคคล 10 ล้านบัญชี สินเชื่อบ้าน 4.2 ล้านบัญชี สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 4 ล้านบัญชี และอื่นๆ 5.6 ล้านบัญชี โดยมีบัญชีสินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วันจำนวน 5.4 ล้านบัญชี คิดเป็นจำนวนลูกหนี้ 1.9 ล้านราย
ทั้งนี้ จำนวนบัญชีของสินเชื่อที่ค้างชำระเกินกว่า 90 วันที่ระดับ 5.4 ล้านบัญชีนั้น หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้ว อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด
สำหรับนโยบายหลักของเครดิตบูโรในปี 2554 นี้ นอกจากการเพิ่มช่องทางที่สะดวก ง่าย รวดเร็ว ในการเข้าถึงข้อมูลเครดิตหรือการตรวจเครดิตบูโรแล้ว ยังต้องดำเนินการต่างๆเพื่อเป็นการสนับสนุนแผนแม่บททางการเงินฉบับที่ 2 ซึ่งรวมถึงการเปิดไมโคร ไฟแนนซ์ โดยการพัฒนาเครื่องมือการบริหารความเสี่ยงที่เป็นมาตรฐานสากล ไม่ว่าเป็น Credit Scoring หรือการเพิ่มข้อมูลของลูกหนี้รายย่อย และสินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม
นายสุรพลกล่าวอีกว่า ในช่วงต่อจากนี้ไป สิ่งที่น่าเป็นห่วงเป็นส่วนของราคาขายปลีกน้ำมันสูงขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ จะทำให้ความสามารถในชำระหนี้ของลูกหนี้ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อบุคคลที่มีภาระที่ต้องชำระหนี้ในระดับ 50-60%ของรายได้ต่อเดือน เนื่องจากรูปแบบการผ่อนชำระของสินเชื่อบุคคลจะแบ่งจ่ายเป็นงวด ไม่ใช่การจ่ายขั้นต่ำ ซึ่งหากการเพิ่มขึ้นของรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ก็จะกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ได้ง่าย
ส่วนมาตรการรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตในอัตราดอกเบี้ย 10%ของทางการนั้น จากวงเงินที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาทนั้น จะคิดเป็นสัดส่วน 6.75%ของยอดหนี้คงค้างของสินเชื่อบัตรเครดิต 1.52 แสนล้านบาท จะส่งผลดีต่อผู้ถือบัตรที่มีวินัยทางการเงิน และจะเป็นแนวทางการให้สินเชื่อโดยคิดดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของผู้ขอกู้ รวมถึงจะทำให้เกิดการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นเพื่อรักษาฐานลูกค้าของตนเองไว้
"ไม่ว่าจะเป็นมาตรการสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 0% 2 ปี หรือรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต สิ่งที่สำคัญคือ การพิจารณาสินเชื่อดังกล่าวจะต้องเป็นไปอย่างรัดกุม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง"
