xs
xsm
sm
md
lg

RATCHทุ่ม1.8หมื่นล.ซื้อIPPในต่างประเทศ แย้มผลดำเนินงานปีนี้ดีแน่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผลิตไฟฟ้าราชบุรีฯตั้งงบลงทุน 1.8 หมื่นล้านบาท ลุยซื้อโรงไฟฟ้าไอพีพีในต่างประเทศ 1-2 โครงการ ร่วมทุนในโรงไฟฟ้าSPP-VSPP และเดินหน้าโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา แย้มผลดำเนินงานปีนี้ดี แม้มีภาระภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น เหตุรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 อีก 700 ล้านบาท และการซื้อกิจการ เผยบอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลงวดปี 53 หุ้นละ 2.25 บาท แม้ว่ากำไรสุทธิงวดปี53 อยู่ที่ 5.2 พันล้านบาท ลดลง 22%

นายนพพล มิลินทางกูร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)(RATCH) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ 1.8 หมื่นล้านบาทเพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าต่างๆรวมถึงการแสวงหาโอกาสการลงทุนในภูมิภาคนี้ทั้งสปป.ลาว อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์และออสเตรเลีย โดยจะเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (ไอพีพี) ในต่างประเทศ 1-2 โครงการการเข้าร่วมทุนในโครงการโรงไฟฟ้าSPPและVSPP จำนวน 4 โครงการ และโครงการพลังงานทดแทน 10 โครงการ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนการซื้อโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศช่วงครึ่งปีหลังนี้

“ในปีนี้กำหนดงบลงทุนกว่า 1หมื่นล้านบาทเพื่อใช้ในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ไม่ว่าจะเป็นการซื้อโรงไฟฟ้าไอพีพีในต่างประเทศ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในครึ่งปีหลังนี้”

หากการลงทุนเป็นไปตามความคาดหมายจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในปี 2561 เป็น5,648 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องแล้วในปัจจุบัน 4,500เมกะวัตต์ และโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาตามสัดส่วนการถือหุ้นกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าหงสา ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างถนนและโยกย้ายชุมชน คาดว่าผลิตเชิงพาณิชย์ได้ปี 2558
โครงการโรงไฟฟ้าน้ำงึม 6 อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับกฟผ. คาดว่าจ่ายไฟเข้าระบบในปี 2560 โครงการโรงไฟฟ้าเซเปียนเซน้ำน้อย อยู่ระหว่างเจรจาเงินกู้และเริ่มก่อสร้างในปลายปีนี้ จะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2561 โครงการโรงไฟฟ้าSPP โคเจนเนอเรชั่น 3 โครงการ อยู่ระหว่างการทำอีไอเอและคัดเลือกเทคโนโลยีการผลิต จัดหาเงินกู้ คาดว่าผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2558
รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังลมและแสงอาทิตย์

นอกจากนี้ บริษัทยังแสวงหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มมูลค่า เช่น ซื้อหุ้นธุรกิจไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอย่างเป็นรูปธรรม เช่นการลงทุนในธุรกิจเหมืองถ่านหินเพื่อป้อนให้กับโรงไฟฟ้า ส่วนการเข้าร่วมประมูลโครงการSPPอีก 1500 เมกะวัตต์นั้น บริษัทมีความมั่นใจว่าจะได้รับคัดเลือก 1 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิต 130 เมกะวัตต์ คาดว่ากฟผ.จะประกาศรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกเร็วๆ นี้

สำหรับแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการลงทุนในปีนี้ บริษัทมีกระแสเงินสดในมือประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้อนุมัติให้บริษัทออกหุ้นกู้ได้ 7.5 พันล้านบาท และมีความสามารถในการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินอีก 2 หมื่นล้านบาท ดังนั้นหากมีโครงการโรงไฟฟ้าที่ดี บริษัทฯก็พร้อมที่จะเข้าไปลงทุน อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นบริษัทยังไม่มีแผนที่จะออกหุ้นกู้แต่อย่างใด

นายนพพลกล่าวต่อไปว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ดีขึ้น แม้ว่ามีภาระการจ่ายภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นหลังหมดสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากบีโอไอ เนื่องจากรับรู้รายได้ในโครงการโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ที่สปป.ลาวขนาดกำลังผลิต 615เมกะวัตต์ ซึ่งได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบกฟผ.ก่อนกำหนดเวลาดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในวันที่ 26 มี.ค.54ประมาณ 3 เดือน คาดว่าจะรับรู้รายได้เข้ามาปีนี้ 700 ล้านบาท รวมทั้งค่าความพร้อมจ่ายตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในปีนี้จะสูงขึ้นกว่าปีก่อน รับรู้รายได้จากการเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าในต่างประเทศเพิ่มเติม และไม่มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่โรงไฟฟ้า ทำให้รักษาความพร้อมจ่ายได้ตามที่กฟผ.กำหนดไว้

สำหรับผลการดำเนินงานปี 2553 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,220.41 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 22.54% เนื่องจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากำหนดให้อัตราค่าความพร้อมจ่ายต่ำกว่าปี 2552 ทำให้รายได้จากการขาย (ไม่รวมรายได้ค่าพลังงานไฟฟ้า) ในปี 2553 อยู่ที่ 10,844.45 ล้านบาท ลดลงจากปี 2552 จำนวน 1,420.43 ล้านบาท เช่นเดียวกับส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าปี 2553 ที่ลดลงจากปีก่อนหน้า 277.58 ล้านบาท ขณะที่ภาษีเงินได้ 1,271.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 440.97 ล้านบาท

ส่วนต้นทุนขาย (ไม่รวมค่าเชื้อเพลิง) ในปี 2553 มีจำนวน 5,009.96 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 519.13 ล้านบาท เพราะโรงไฟฟ้าราชบุรีมีการบำรุงรักษาน้อยกว่าปี 2552 เป็นผลให้ค่าอะไหล่และต้นทุนขายอื่นๆ ลดลง 338.14 ล้านบาท รวมทั้งค่าเสื่อมราคาโรงไฟฟ้าและค่าเสื่อมมูลค่าวัสดุสำรองคลัง ลดลง 111.47 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของบริษัทฯ
สำหรับต้นทุนทางการเงินจากดอกเบี้ยจ่ายในปีนี้ ลดลงจากปีก่อนหน้า เป็นจำนวน 183.77 ล้านบาท เพราะการชำระคืนเงินต้นทุกไตรมาส รวมถึงอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่ต่ำกว่าปีก่อนหน้า

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติจ่ายเงินปันผลงวดปี 2553หุ้นละ 2.25 บาท คิดเป็นการจ่ายเงินปันผล 63% ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองทางกฎหมาย โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลส่วนที่เหลืออีก 1.15 บาทในวันที่ 11 เม.ย.2554
กำลังโหลดความคิดเห็น